ช่อรู้ไว้ ยกเลิกม.112 อย่าใช้แต่อคติ มีไว้เพื่อคุ้มครองประมุขรัฐ ขนาดบุคคลธรรมดายังมี!

0

ภายหลังที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงประเด็นที่น่ากังวลอยู่ในขณะนี้คือ การละเมิดและก้าวล่วงสถาบัน

โดยนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเมตตา ทรงไม่อยากให้ใช้กฎหมาย มาตรา 112 แต่ก็พบว่ามีการละเมิดอย่างต่อเนื่อง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ในบัดดล “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่  ออกมาเคลื่อนไหว เสมือนว่า “ได้ทีขี่แพะไล่” โพสต์ทวิตเตอร์ @Pannika_FWP   กดดันให้ยกเลิกกฎหมายมาตรา112 อ้างว่ามาตราดังกล่าว ละเมิดเสรีภาพประชาชน

โดย”ช่อ” พรรณิการ์ ระบุว่า..เมื่อนายกฯบอกเองว่า ทุกวันนี้ไม่ใช้ม. 112 แล้ว และก็เป็นที่รู้กันมานานว่ากม.นี้มีปัญหา ถูกใช้ละเมิดเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคงกม.นี้ไว้ รวมถึงควรมีการพิจารณากม.อื่นที่ถูกใช้ปิดปากผู้เห็นต่าง เช่นพ.ร.บ.คอมฯ ม.117 ข้อหายุยงปลุกปั่น #ยกเลิก112

ก่อนที่จะเคลื่อนไหวยกเลิกมาตรา112 ก็ควรศึกษาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งให้ดีเสียก่อน สำหรับเนื้อหาใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

ในข้อเท็จจริง มาตรา 112   เป็นกฎหมายความมั่นคง เพื่อคุ้มครองประมุขของประเทศ ไม่ได้เป็นกฎหมายเพื่อพระราชวงศ์ เพราะในรายละเอียดได้บัญญัติไว้ด้วยว่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ที่เป็นคนธรรมดา ซึ่งเคยปรากฏในอดีตมาแล้ว เช่น นายปรีดี พนมยงค์ หรือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ล้วนเป็นคนธรรมดาทั้งสิ้น แต่หากขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์   แล้วเกิดมีใครคนใดไปกล่าวร้าย  หมิ่นประมาท หรือ อาฆาตมาดร้าย ก็เข้าข่ายกระทำความผิดกฎหมาย มาตรา 112  เช่นกัน ในขณะที่พระบรมวงศานุวงศ์องค์อื่นๆ  กฎหมายมาตรา 112  ไม่ได้คุ้มครอง

และสิ่งที่ ช่อ” พรรณิการ์ ต้องรู้ และตระหนักก่อนออกมาเคลื่อนไหวให้ยกเลิกมาตรา 112 ที่มีไว้เพื่อคุ้มครองประมุขของรัฐไทย เป็นเรื่องน่าตะขิดตะขวงใจหรือไม่ หากไม่มีกฎหมายคุ้มครองประมุขรัฐตัวเอง แต่กลับมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของรัฐอื่นในบรรทัดฐานเดียวกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล…

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 133 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดได้กระทำโดยการโฆษณา ต้องระวางโทษเช่นกัน”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 133 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีหรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดได้กระทำโดยการโฆษณา ต้องระวางโทษเช่นกัน”

ทั้งนี้หากพิจารณาให้อย่างถี่ถ้วน มาตรา 112 ห้ามการกระทำเพียง 3 อย่าง คือ ห้ามหมิ่นประมาท ห้ามดูหมิ่น  แสดงความอาฆาตมาดร้าย อย่าว่าแต่จะกระทำต่อประมุขของประเทศเลย กระทำกับบุคคลธรรมดา ก็ยังไม่ได้ เพราะกฎหมายคุ้มครองไว้

กระทำต่อบุคคลธรรมดา

หมิ่นประมาท (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326)

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ระบุถึงการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทไว้ว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328)

ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร เหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือวัตถุอื่น กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

ดูหมิ่นซึ่งหน้า (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393)

การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมเป็นความผิดอันยอมความกันได้ ในทางกฎหมายได้นิยามคำว่าหมิ่นประมาทไว้ว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากกระทำผิดโดยการโฆษณาต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท ส่วนการหมิ่นซึ่งหน้านั้น อยู่ในหมวดลหุโทษของประมวลกฎหมายอาญา เป็น “การดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า” (มาตรานี้ไม่ได้มีกล่าวถึงความเกี่ยวข้อต่อบุคคลที่สามไว้) มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ