รายการ “ทิศทางไทยในช่วงเวลา 00.00 กับสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” เผยแพร่ผ่านทางyoutube ช่องทิศทางไทย โดย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานกรรมการสถาบันทิศทางไทย ได้ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองระบุว่า
สถานะของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะอยู่ในช่วงเวลา00.00น. ช่างวังเวงสำหรับกองเชียร์ที่เชียร์พลเอกประยุทธ์ เพราะวันนี้กำลังเกิดสงครามข่าวสารที่เรียกว่า “แพ้แล้วแพ้อีก” สำหรับรัฐบาล
เพราะรัฐบาลไม่เข้าใจว่าวันนี้ไม่ได้ต่อสู้กับฝ่ายค้านในระบบรัฐสภา แต่ฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านกำลังก่อสงครามข่าวสารเพื่อต้องการที่จะโค่นล้มรัฐบาล นั่นก็คือการบั่นทอนความเชื่อถือของประชาชนต่อรัฐบาล
สนธิญาณยกตัวอย่างอีกด้วยว่า “ความเป็นจริงในสงครามปฏิวัติ อาวุธไม่ใช่เครื่องมือชี้ขาดในการโค่นล้มรัฐบาล แต่ผู้ชี้ขาดก็คือกระแสความไม่เชื่อถือ ความเบื่อหน่ายของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล”
และกระแสความเบื่อหน่ายนั้นมาจากสงครามข่าวสาร โดยเฉพาะข่าวปลอมข่าวเท็จที่เรียกว่า “Fake news” นั่นเอง โดยประชาชนรับฟังข่าวสารซ้ำแล้วซ้ำเล่าจริงเท็จปะปนกันไป ท้ายสุดทนไม่ไหว ลุกออกมาไล่รัฐบาล
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มีผลงานประชาชนเชื่อถือ เลือกตั้งทุกครั้งก็สามารถชนะตลอด แต่มีเหตุการชุมนุมใหญ่ๆ ถึง2ครั้ง ม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนมาถึงม็อบกปปส. ออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากทักษิณ ชินวัตรและพรรคการเมืองเครือข่าย พรรคพลังประชาชน หรือ พรรคเพื่อไทย ก็ตามแต่ ล้วนมาจากสงครามข่าวสาร เพียงแต่ว่าสงครามข่าวสารในครั้งนั้นเป็นข้อมูลข้อเท็จจริงที่ประชาชนรู้ ว่าทักษิณและเครือข่ายทำอะไรที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง
เมื่อรัฐบาลไม่เข้าใจในสงครามข่าวสารก็คิดแค่ทำการประชาสัมพันธ์ ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะสถานการณ์อะไรก็ตาม ชี้แจ้ง ประชาสัมพันธ์ แถลงข่าว ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้ออกหน้าจอทีวีก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะโฆษกรัฐบาลเป็นนักวิชาการทางด้านการเงินที่มีความสามารถ แต่อย่าลืมไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านการประชาสัมพันธ์ อย่าว่าแต่ประสบการณ์ในการทำสงครามข่าวสารเลย ไม่เคยมีทักษณะในเรื่องดังกล่าว
ดังนั้นสิ่งที่ได้เห็นการแถลงไปตามปกติ ชี้แจ้งครั้งเดียวก็ถือว่าพอแล้ว ไม่เข้าใจการทำสงครามข่าวสารคือต้องตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลิกแพลงรูปแบบจะต้องมีการวิเคราะห์ฝ่ายตรงข้ามจะทำอย่างไรและจะต้องดำเนินการอย่างไรในการที่จะแก้เกมหรือจะรุกกลับ
สงคราม! พลเอกประยุทธ์เป็นทหาร รู้และเข้าใจชัดเจนว่าต้องมีทั้งการรุก การยัน และการรับ สงครามข่าวสารเช่นเดียวกัน แต่รัฐบาลไม่เคยได้ดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์นี้เลย
สำหรับกรณีที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ กรณีไวรัสโคโรน่า2019 ซึ่งเป็นข่าวที่ประชาชนแตกตื่นกันเป็นอย่างยิ่งเพราะข่าวดังกล่าวกระจายออกไปทั่วทั้งโลก เงื่อนไขนี้เป็นเหยื่อสำคัญที่ฝ่ายต้องการโคนล้มรัฐบาลหยิบมาเป็นเครื่องมือในการเล่นงานรัฐบาล
สนธิญาณย้ำ ในสงครามข่าวสารอาวุธที่สำคัญที่สุดก็คือข่าวที่เป็นเท็จ ข่าวปลอม เพราะสามารถที่จะสร้างสิ่งที่ไม่จริงให้เกิดเป็นความน่าเชื่อถือ ให้ประชาชนตื่นตระหนกและหวัดกลัว เมื่อเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นแล้วมีการหวังผลแบ่งออกเป็น2ทาง
ทางแรก ผู้ที่จงใจปล่อยข่าวสร้างข่าวขยายข่าวสาร
ทางที่สอง รอให้คนที่มีชื่อเสียงกระโดดงับ ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ฉลาด ตั้งใจเจตนาที่จะขยายก็เกินจะคาดคิด
ยกตัวอย่างผู้ที่มีชื่อเสียง คือหมวดเจี๊ยบ ร้อยโทสุณิสา ทิวากรดำรง ระบุบางช่วงว่า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลจีนไม่ยอมให้รัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากไวรัสโคโรนา แต่มีสื่อต่างประเทศ รายงานว่า ขณะนี้สหรัฐได้ส่งเครื่องบินไปรับประชาชนและเจ้าหน้าที่ทางการทูตออกจากอู่ฮั่นแล้วนับร้อยคน ถ้าสหรัฐทำได้ แล้วทำไมรัฐบาลประยุทธ์ทำไม่ได้…
อีกคนยิ่งกว่าหมวดเจี๊ยบก็คือ เจ๊หน่อย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ บางช่วงระบุว่า เรามีนักศึกษาและประชาชนไทย ที่เดือดร้อนอยู่ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เขตแพร่ระบาดของ #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
เรามีกองทัพอากาศและบุคลากร ที่เตรียมพร้อมเพื่อช่วยเหลือประชาชน พร้อมขึ้นบินไปรับคนไทยที่เดือดร้อนทันที แต่ยังไม่ได้ไปเพราะ #รอนายกสั่งการ….
เป็นเพียงตัวอย่าง ระดับผู้พิพากษาก็ไม่เว้น ออกมาโพสต์ขยายความ จะตั้งใจหรือตกเป็นเหยื่อ ก็ตามแต่ …..
กรณีนี้นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศยืนยันว่าคนไทยที่อาศัยอยู่ในอู่ฮั่นจำนวน64คนยังดี ส่วนการเดินทางกลับนั้นรัฐบาลเตรียมความพร้อมไว้แต่ทางการจีนเองมีมาตรการสั่งปิดประเทศโดยเฉพาะเมืองอู่ฮั่น ที่ห้ามคนเข้าออกถือเป็นมาตรการปกติจึงยืนยันว่าไม่มีประเทศไหนที่จะเข้าไปนำคนออกมาได้
ความจริงข่าวแบบนี้แถลงน่าจะรู้ แต่ตนเรียนแล้ว สิ่งที่รัฐบาลทำก็คือแค่แถลง ด้วยเหตุผลนี้คนที่รักรัฐบาลคนที่เห็นความจริงใจทนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการทางด้านสื่อสาร ระบุว่า ความคิดในการสู้กับ Fake news ช่างไร้เดียงสาอย่างน่ากลัวนะคะ น่ากลัวว่าจะแพ้สงครามข่าวค่ะ
คิดว่าพูดชี้แจง Fake news ทางการเมือง ชี้แจงไปฝ่ายตรงกันข้ามก็ไม่เชื่อ เลยไม่ชี้แจง
แล้วถ้าไม่ชี้แจง ไม่กลัวฝ่ายที่เชียร์รัฐบาลจะไปหลงเชื่อ Fake news ของฝ่ายตรงข้ามบ้างเหรอคะ
มีหน้าที่ชี้แจง ก็ทำเถอะคะ ไม่ให้ฝ่ายเดียวกันไปเชื่อฝ่ายตรงกันข้าม และให้ฝ่ายตรงกันข้ามได้ฟังข้อเท็จจริงไปพิจารณาบ้าง ใน 10 คนได้คนเข้าใจ และเปลี่ยนความเชื่อได้ 2-3 คนก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย…
เขาเรียกว่าบนอย่างชัดเจนในความเหนื่อยหนาย ของรัฐบาล อาจารย์เสรีระบุต่อด้วยว่า การไม่ชี้แจง Fake news ทางการเมือง เท่ากับการไม่ยอมทำสงคราม ทั้งๆที่อีกฝ่ายหนึ่งตั้งใจที่จะทำสงครามหลาหลายรูปแบบ ถ้าไม่อยากออกมาตอบไต้ในรูปแบบตั้งรับ (re-active) ก็พยายามทำการสื่อสารเชิงรุก (Pro-active) ให้มีประสิทธิภาพสิคะ …
อีกท่านหนึ่งยืนหยัดมากับความถูกต้องและให้น้ำหนักในการต่อสู้กับฝ่ายโค่นล้มรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มาโดยตลอดนั่นก็คืออาจารย์ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ได้โพสต์เฟสบุ๊คถึง2ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน ระบุ
…..ผู้ที่สร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพื่อต้องการให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนที่ได้เสพข่าวถือว่าเลวมาก
…..คนที่นำข่าวมาเผยแพร่ต่อถือว่าเลวมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็น ส.ส.ที่นำข่าวมาขยายผลเพื่อโจมตีรัฐบาลต้องถือว่าเลวที่สุดจนหาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้แล้ว
อีกโพตส์ท่านย้ำว่า
…..การสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือข่าวปลอมอื่นๆ เพื่อต้องการให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนเข้าข่ายมีความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) ที่มีโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
…..แต่ที่ยังมีการกระทำกันอยู่โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายเพราะกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.)ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดไม่มีความทุ่มเทมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่และขาดประสิทธิภาพด้วย
…..จึงแทบจะไม่ปรากฎข่าวว่าผู้กระทำความความผิดถูกดำเนินคดีฟ้องต่อศาลและมีคำพิพากษาลงโทษ อันจะมีผลให้ผู้กระทำความผิดเกิดความเกรงกลัว
สนธิญาณกล่าวโดยสรุปว่า “ต้องฝากถึงนายกรัฐมนตรีว่าเสร็จงานนี้ต้องทบทวนกันสักครั้งไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการการเมือง ข้าราชกาลประจำต้องยกเครื่อง ถ้าไม่ยกเครื่องท่านเหนื่อยหนัก “