จากกรณีข่าวสะเทือนใจ หลังเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคม จ.สุพรรณบุรี พาเด็กหญิงกำพร้าวัย 12 ปี เข้าแจ้งความ หลังพี่สาวให้ข้อมูล เด็กถูกกลุ่มเครือญาติ รวม 7 คน ล่วงละเมิดทางเพศมานานกว่า 2 ปี บังคับให้กินยาคุมไม่ให้ท้อง แต่เรื่องแดงเพราะโดนกระทำรุนแรงจนมดลูกอักเสบ น้องขอร้องให้พาไปหมอ ถึงได้รู้ความจริง
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวแก๊งญาติ 7 ผู้ต้องหา ส่งศาลฝากขัง ซึ่งผู้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ขอให้การต่อสู้ในชั้นศาล เหยื่อเผยหนึ่งในผู้ต้องหาใช้มีดขู่ฆ่าห้ามบอกใคร ด้านพี่สาว ได้เปิดเผยด้วยว่า ตนเองและน้องโดนหนึ่งในผู้ต้องหาล่อลวงไปลวนลามหวังจะข่มขืนเช่นกัน เสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พอออกมาให้ความจริง ก็โดนญาติพากันรังเกียจ
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ล่าสุด “บุ๋ม ปนัดดา” ในฐานะประธานองค์กรทำดี และเจ้าตัวกำลังต่อสู้เปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายเพื่อช่วยผู้หญิงไม่ให้ตกเป็นเหยื่อทางเพศนั้น ได้เปิดใจผ่านทาง รายการวันบันเทิง ถึงข่าวนี้ว่า “เห็นข่าวแล้วก็ไม่สบายใจ รู้สึกเสียใจ เพราะเรื่องข่มขืนเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้
ยิ่งข่มขืนเยาวชนมันจะยิ่งเป็นแผลในใจเขาไปอีกนาน โดยเคสข่มขืนส่วนใหญ่จะเป็นคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อเลี้ยง พ่อแท้ ๆ พี่ชาย ลุง ลามไปถึงตา ซึ่งเราไม่มีทางรู้ว่าภาวะจิตใจของเด็กเป็นอย่างไรหลังจากนั้น แถมคนในครอบครัวยังปล่อยปละละเลยอีก
นอกจากนี้ยังมีคนบางกลุ่มไปโทษเรื่องการแต่งตัวของผู้หญิงอยู่ ซึ่งมันไม่เกี่ยวกันแล้ว จากกรณีที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าต่อให้เป็นเด็ก แต่งตัวมิดชิด หรือใส่ชุดนักเรียน เขาก็ทำร้ายได้ลง ยอมรับว่าเจอกรณีแบบนี้ทุกวัน มาขอความช่วยเหลือทุกวันจนรู้สึกรับไม่ได้แล้ว”
การเปลี่ยนกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องใช้ระยะเวลา บางครั้งสิ่งที่ตนทำ คนจะไม่เข้าใจ และมักจะออกมาด่า ซึ่งตนต้องใช้ความอดทนสูงมาก และเชื่ออย่างหนึ่งว่าระยะเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนทำคืออะไร โดยตนยอมเจ็บตัว เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ตนเสียสละจะสามารถสร้างอะไรดี ๆ ได้ และขอบคุณสำหรับคนที่เข้าใจตน ทุกกำลังใจคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เดินไปข้างหน้าต่อเพื่อคนอื่นได้
อย่างไรก็ตาม บุ๋ม ปนัดดา ได้โพสต์ข้อความไว้ในเฟซบุ๊กอีกด้วยว่า หากใครที่รู้ว่ากำลังถูกทำร้าย ตกเป็นเหยื่อคุกคามและล่วงละเมิดทางเพศ สามารถติดต่อตน หรือองค์กรทำดี ได้ตลอดเวลา