“ห่าลงที่เมืองเวสาลี” วิธีบริหารจัดการวิกฤติ (Crisis Management) โรคระบาดของพระพุทธเจ้า
(สรุปย่อจากงานวิจัยเรื่อง การรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ศึกษาเปรียบเทียบทัศนะระหว่างพุทธศาสนากับคริสต์ศาสนา ของ อ.สุภัทรา วงสกุล โดย ดร.เวทิน ชาติกุล)
1. เหตุภัยพิบัติในเรื่องเล่าทางศาสนา
เหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่ ทุกสังคม วัฒนธรรมโดยไม่ได้แบ่งแยกความแตกต่างทางความคิด อุดมการณ์หรือความเชื่อ กระนั้นความเชื่อ ศาสนา พื้นหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอาจทำให้การรับรู้ เข้าใจ และตอบสนองต่อเหตุภัยพิบัติธรรมชาติในต่างที่ต่างถิ่นนั้นมีความแตกต่างออกไป (บัญญัติ คำนูณวัฒน์, 30 เม.ย.2557; นรีนุช ดำรงชัย, 2559) หรือมานุษยวิทยาภัยธรรมชาติในมุมมองของจิตนิยม(Mentalism)พยายามอธิบายด้านจิตใจ พยายามทำความเข้าใจว่าผู้ที่ถูกศึกษารู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร อธิบายอย่างไร เล่าให้ฟังอย่างไร มากกว่าการหาคำอธิบายเหตุผลเชิงเหตุปัจจัย (Sponsel, L.E., ไม่ระบุเวลา)
ในการตระหนักรู้และหลักการการจัดการเหตุพิบัติภัยสมัยใหม่ (Disaster Management) (สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2554; ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี, 2557; เอกราช บุญเริง และอโณทัยหาระสาร, 2561) จะไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคมหรือวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ เพราะเชื่อว่าเหตุภัยธรรมชาตินั้นเป็น “เรื่องสากล” ตามความเข้าใจแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กล่าวคือ เราสามารถแบ่งการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ ออกได้เป็น
1. การป้องกันและบรรเทาผลกระทบ(Prevention and Mitigation) คือการป้องกันหรือลดหรือการกำจัดความเป็นไปได้ของอันตราย
2. การเตรียมการ(Preparedness) การเพิ่มความรู้และเครื่องมือให้ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงลดการสูญเสียชีวิตหรืออันตราย
3. การตอบสนองในภาวะฉุกเฉิน(Response) คือ การลงมือปฏิบัติเพื่อลดหรือกำจัดความเสี่ยงขณะที่เกิดเหตุภัยพิบัติ
4. การฟื้นฟูความเสียหาย(Recovery) คือการทำให้ผู้เสียหายหรือผู้รอดชีวิตกลับสู่ภาวะปกติหลังภัยพิบัจิผ่านพ้น
ส่วนเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้วการจัดการวิกฤติ(Crisis Management)สามารถแบ่งได้เป็น
1. การสำรวจสภาพความเสียหาย (Landscape Survey) คือการพิจารณาวิกฤติที่ต้องเผชิญทั้งภายในและภายนอก
2. การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planing) คือการพิจารณาแผนการป้องกันวิกฤติและแผนการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติ
3. การจัดการวิกฤต (Crisis management) คือความพยายามในการแก้วิกฤติและการดำเนินการแก้วิกฤติให้รวดเร็วที่สุด
4. การเรียนรู้ขององค์การ (Organization learning) คือการทบทวนบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการเผชิญและแก้วิกฤติ
จะเห็นว่าหลักการทั้งสองอย่างข้างต้นครอบคลุมการรับมือกับเหตุภัยพิบัติทั้งก่อน-ขณะเกิด-หลัง เหตุการณ์ไม่ว่าภัยพิบัติจะเกิดขึ้นณ.ที่ใดก็ตาม อย่างไรก็ดีองค์ประกอบทางสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไปอาจทำให้มีการประยุกต์ใช้หลักการเหล่านี้แตกต่างกัน(หรืออาจมีบางอย่างร่วมกัน) ซึ่งแสดงถึงการตอบสนองต่อการเผชิญวิกฤติที่แตกต่างกันโดยศาสนาถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่ง นอกเหนือจาก ความเชื่อ และวัฒนธรรม (Gaillard and Texier, 2010) โดยในที่นี้จะพิจารณาการรับมือภัยพิบัติตามทัศนะพุทธศาสนา และคริสต์ศาสนาโดยพิจารณาจาก “เรื่องเล่า” ที่ปรากฏในแต่ละศาสนา ซึ่งแม้เรื่องเล่าเหล่านี้แม้จะบอกไม่ได้ว่าเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นแต่ก็มีความสำคัญในการเข้าใจการรับมือเหตุภัยพิบัติในสามประการคือ
หนึ่ง) เรื่องเล่าเหล่านี้สะท้อนหลักคิด คติ ความเชื่อ คุณค่า ของแต่ละศาสนาเอาไว้อย่างชัดเจน
สอง) เรื่องเล่าเหล่านี้คือเรื่องเล่าที่สืบทอดต่อๆมาซึ่งในด้านหนึ่งถือได้ว่า(อาจ)มีองค์ความรู้ในการรับมือภัยพิบัติแต่โบราณอยู่ด้วย
สาม) เรื่องเล่าเหล่านี้มักได้รับความนิยมในสังคมร่วมสมัยซึ่งง่ายต่อการนำมาเป็นตัวอย่างหรือการสื่อสารกับคนในแต่ละสังคมหรือข้ามสังคมวัฒนธรรม
เรื่องเล่าที่จะยกมาในที่นี้คือ “รัตนสูตร” ในพุทธศาสนา อันในตำนานกล่าวว่าเป็นพระสูตรเกี่ยวกับบทสวดพระปริตรที่พระพุทธเจ้าใช้เพื่อสยบภัยพิบัติที่เมืองเวสาลี และชาวพุทธมีความเชื่อว่าเป็นบทสวดเพื่อป้องกันเหตุร้ายได้
2. ภัยแล้งและภัยโรคระบาดที่เมืองเวสาลี
ในสมัยพุทธกาล เมืองเวสาลีซึ่งเป็นเมืองที่ “เมืองมั่งคั่ง กว้างขวาง มีคนมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น มีภิกษาหาได้ง่าย มีปราสาท ๗,๗๐๗ หลัง มีเรือนยอด ๗,๗๐๗ หลัง มีสวน ๗,๗๐๗ แห่ง มีสระโบกขรณี ๗,๗๐๗ สระ” ได้เกิดเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายๆเหตุซ้ำซ้อนกันคือ เกิด 1) ทุพภิกขภัย: “ฝนแล้ง ข้าวกล้าเสียหาย” ตามมาด้วยความอดยาก คนจนล้มตาย ศพมากมายถูกทิ้งเอาไว้ที่นอกเมือง 2) อมนุษยภัย: กลิ่นซากศพทำให้ “อมนุษย์”(ความหมายเดิมน่าจะรวมภูติผีปีศาจด้วย แต่ตามนัยสมัยใหม่น่าจะหมายถึงสัตว์ที่เป็นพาหะของเชื้อโรค) ได้เข้ามาในเมืองทำให้ผู้คนล้มตายเพิ่มขึ้น และ 3) โรคภัย: คือปฏิกูลของเสียที่สะสมในเมืองทำให้เกิดอหิวาตกโรคระบาดในเมือง “เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย” ผู้ปกครองเมืองเวสาลีจึงได้เสด็จไปยังทูลเชิญพระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์มายังเมืองเวสาลี “เพื่อให้ภัยเหล่านั้นสงบ” พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จมาพร้อมกับพระอานนท์ และ “ได้ตรัสพระสูตรนี้ (รตนสูตร) เพื่อให้อุปัทวะทั้งหลายเหล่านั้นสงบ”
3. “รัตนสูตร” ในมุมมองของการจัดการวิกฤติในเหตุภัยพิบัติ (Crisis Management)
เหตุภัยพิบัติในเมืองเวสาลีทำให้เมืองตกอยู่ในสภาวะวิกฤติอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะเมืองเวสาลีเกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 3 ประเภทภัยพิบัติ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความคล้ายคลึงกับเหตุภัยพิบัติ 10 ประการที่คุกคามอียิปต์ในหนังสือ Exodus ในพระคัมภีร์เก่าคือภัยพิบัติหนึ่งเป็นสาเหตุต่อภัยพิบัติที่ตามมาต่อเนื่องกันไป (ยกเว้นความตายของบุตรชายคนแรก(ภัยพิบัติประการที่ 10)ที่ไม่จัดเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ) กล่าวคือ
-เกิดเหตุวิปริตของสภาวะอากาศ (แม่น้ำเป็นสีเลือด(ภัยพิบัติประการ 1) เทียบกับ “ภัยแล้ง” ที่เกิดขึ้นก่อนที่เมืองเวสาลี
-ต่อด้วยฝูงสัตว์แห่อพยพเข้ามาคุกคามในเมือง (ฝูงกบ(ภัยประการ2), ฝูงเรือดไร(ภัยประการ3), ฝูงแมลง(ภัยประการ4),ฝูงตั๊กแตน(ภัยประการ8) ซึ่งเหมือนกับ “อมนุษย์ภัย” ในเมืองเวสาลี
-และสุดท้ายคือการเกิดโรคระบาดที่ตามมา (โรคระบาดในสัตว์(ภัยประการที่ 5), โรคฝีระบาด(ภัยประการ6) ซึ่งก็คือ “โรคภัย” (จุดแตกต่างคือในเมืองเวสาลีไม่มี ลูกไฟตกจากฟ้า(ภัยพิบัติประการที่7) และ ฟ้าที่มืดสามวัน(ภัยพิบัติประการที่ 9) (พันธสัญญาเดิม อพยพ)
ในหนังสือ Exodus อียิปต์ซึ่งอยู่ในภาวะวิกฤติไม่สามารถแก้ปัญหาได้จนต้องปลดปล่อยคนของโมเสสให้เป็นอิสระ แต่ในเรื่องเล่าของรัตนสูตรเมื่อเกิดเหตุวิกฤติขึ้นผู้ปกครองเมือง(เมืองเวสาลีมีลักษณะพิเศษคือมีเจ้าปกครองหลายองค์ในคราวเดียว)ได้เรียกประชุมกันเพื่อประเมินสถานการณ์และหาทางแก้ไข
(ก) การสำรวจสภาพความเสียหาย (Landscape Survey): การทูลเชิญพระพุทธเจ้าเพื่อสงบภัย(พิบัติ)
ในอรรถกถาของรัตนสูตรไม่ได้บรรยายถึงสภาพความเสียหายของเมืองขณะที่เกิดเหตุวิกฤติเอาไว้ แต่การเกิดภัยแล้ง ฝูงสัตว์(อาจรวมถึงภูตผีปีศาจ)เข้าคุกคามเมืองและตามมาด้วยโรคระบาดที่ “นับจากนี้ไปจนถึง ๗ ชั่วราชสกุล ภัยเห็นปานนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ได้บังเกิดขึ้นแล้ว” น่าจะทำให้เมืองทั้งเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติหนัก ผู้คนในเมืองต่างไม่กล้าออกมาจากบ้าน ซึ่งเหตุภัยพิบัติและโรคระบายนี้มีความเป็นไปได้ดังปรากฏในรายงาน Indo Pacific Defense Forum (2 มี.ค.2015) ที่ว่า “… การพัฒนา การตัดไม้ทำลายป่าและความผันผวนของรูปแบบสภาพอากาศล้วนเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อโรคอุบัติใหม่ค่อนข้างมาก เพราะปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้คนและแหล่งเชื้อโรคเข้ามาอยู่ใกล้กันมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สัตว์ป่าสามารถเป็นแหล่งรังโรคที่แพร่เชื้อไปสู่มนุษย์ได้เมื่อมนุษย์ล่าค้างคาวหรือลิงมาเป็นอาหาร แมลงต่าง ๆ เช่น ยุง ก็สามารถเป็นพาหะนำโรคได้เช่นกัน…”
ซึ่งเรื่องก็ได้เล่าต่อไปถึงความพยายามประเมินสถานการณ์และสาเหตุในที่ประชุมเมืองเวสาลี หรือปัจจุบันน่าจะเปรียบได้กับ “วอร์รูม” นั่นเอง โดยพิจารณาถึงสาเหตุแรก(ในกรอบความเข้าใจในครั้งพุทธกาล)ว่าพระราชาได้ประพฤติผิดในธรรมหรือไม่? เมื่อเห็นว่าพระราชายังตั้งอยู่ในธรรมหรือในการประเมินสถานการณ์คือ วิกฤติไม่ได้มาจากภายใน ก็ย่อมต้องแสดงว่าวิกฤตินี้ต้องมีาาเหตุปัจจัยจากภายนอก คือความวิปริตผันผวนของธรรมชาติเอง จึงหารือกันต่อว่าจะแก้ไขปัญหาภัยพิบัติที่กำลังประสบกันอย่างไร โดยในที่ประชุมเสนอว่า ถ้ามีผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก “ก้าวลง”(เหยียบผืนดิน) เมืองเวสาลี ภัยพิบัติก็จะหมดไป(ในคัมภีร์สันสกฤตระบุว่าชาวเมืองไปเชิญ “คุรุทั้ง6” มาก่อนแต่ไม่สำเร็จ แต่ในคัมภีร์บาลีเรื่องการเชิญนี้เป็นเพียงข้อถกเถียงว่าจะเชิญใครระหว่างคุรุทั้ง6กับพระพุทธเจ้า) จึงมีผู้เสนอให้ไปเชิญพระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ให้เสด็จมายังเมืองเวสาลี
“…ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง พระองค์มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ในเมื่อพระองค์สักว่าทรงก้าวลง (ยังเมืองเวสาลี) ภัยทั้งปวงก็พึงสงบลงได้…”
จึงเกิดข้อสงสัยในที่ประชุมว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาหรือไม่? มีผู้ตอบว่าพระพุทธเจ้าทรงมีเมตตาต่อสัตว์โลก ย่อมต้องเสด็จมาอย่างแน่นอน จึงมีคำถามต่อมาว่าแล้วพระเจ้าพิมพิสารที่รับอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่จะยอมให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาหรือไม่? ซึ่งที่ประชุมบอกว่าก็ต้องเจรจาให้ยินยอม แล้วก็ให้เจ้าลิจฉวี 2 องค์แต่งบรรณาการไปยังเมืองราชคฤห์เพื่อทูลขอต่อพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเมื่อความถึงพระเจ้าพิมพิสารก็ไม่ทรงรับ(บรรณาการ?) หรือ ไม่ทรงอนุญาตแต่บอกให้เจ้าลิจฉวีไปขอเชิญพระพุทธเจ้าเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงรับคำเชิญ (แต่ในคัมภีร์สันสกฤต เจ้าลัจฉวีไปหาพระพุทธเจ้าก่อนแล้วพระพุทธเจ้าจึงบอกให้ไปทูลขอต่อพระเจ้าพิมพิสาร)
“…พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาแล้ว จึงทรงรับด้วยทรงทราบชัดว่า เมื่อเราแสดงรัตนสูตรในเมืองเวสาลีแล้ว อารักขาจะแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักรวาล ในเวลาจบพระสูตร ธรรมาภิสมัยจักมีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐…”
ถ้าเรายกประเด็นเชิงปาฏิหาริย์บารมีที่ว่าผู้มีอำนาจมากจะมาขจัดภัยพิบัติได้ออกไป เรื่องเล่านี้ก็พอมีนัยพอจะเข้าใจได้ก็คือ ในวิกฤตินั้นจะมีกลุ่มคนที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆซึ่งควรจะต้องเชิญมาร่วมอยู่ใน “หน่วยงาน” หรือ “ทีม” ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ ประเด็นที่สะท้อนในเรื่องเล่านี้ก็คือ “ความเป็นพหุภาคี” ที่เกิดขึ้นในการเผชิญวิกฤติ นั่นคือการขอและได้รับความช่วยเหลือทั้งด้านเทคโนโลยีและมนุษยธรรมจากประเทศเพื่อนบ้านหรือนานาประเทศ (Indo Pacific Defense Forum, 2 มี.ค.2015) ซึ่งในวิกฤติที่เมืองเวสาลีการขอความช่วยเหลือจากนครราชคฤห์เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนและต้องรอบคอบดังที่ปรากฏในการถกเถียงในที่ประชุมเพราะ 1) ทั้งสองเมืองมีพรมแดนติดกันและสามารถติดต่อกันได้ผ่านเส้นทางแม่น้ำคงคา 2) วิกฤติในเมืองเวสาลีย่อมต้องเป็นที่รับรู้ของนครราชคฤห์ 3) นครราชคฤห์มีอำนาจทางการเมือง การทหาร ใหญ่กว่าเมืองเสสาลี ซึ่งหากการเจรจาขอความช่วยเหลือไม่กระทำอย่างรอบคอบก็อาจพลาดพลั้งเกิดเป็นสงครามซ้ำเติมให้วิกฤติหนักขึ้นได้ พระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองราชคฤห์ก็ไม่อยากให้เกิดวิกฤติ(โรค)ระบาดลุกลามมาถึงเมืองตน การตัดไฟแต่ต้นลมคือให้ความช่วยเหลือเมืองเวสาลีก็คือหนทางที่นครราชคฤห์จะยับยั้งวิกฤติไม่ให้มาถึงตนไปด้วย ในแง่นี้ทั้งสองเมืองต่างต้องร่วมกันต่อสู้กับภัยที่เกิดขึ้นและบารมีของพระพุทธเจ้าที่ผู้ปกครองทั้งสองเมืองต่างเคารพศรัทธาถือว่าช่วยส่งเสริมแบะสนับสนุนความเป็นพหุภาคีและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมที่เกิดขึ้น
(ข) การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planing): การเตรียมเส้นทางเสด็จของพระพุทธเจ้าจากนครราชคฤห์สู่เมืองเวสาลี
ตามกฏอนามัยระหว่างประเทศซึ่งเป็นหลักการควบคุมโรคสมัยใหม่ (วราลักษณ์ ตังคณะกุล, ไม่ระบุเวลา) จะแบ่งการควบคุมและป้องกันโรคออกเป็น
-การคัดกรองและตรวจจับผู้ต้องสงสัยว่าป่วย (Screening)
-การหยุดยั้ง หรือ สกัดกั้น
(Containment)
-การติดตามผู้สัมผัส (Contact tracing)
-การแยกกัก (Isolation)
-การกักกัน (Quarantine)
-การทำลายเชื้อ (Disinfection)
-การทำลายแมลงหรือสัตว์นำโรค
(Disinsection)
ซึ่งแม้ในเรื่องเล่าจะไม่ได้มีรายละเอียดเหล่านี้แต่การเตรียมการเพื่อให้พระพุทธเจ้าเสด็จจากเมืองราชคฤห์ไปสู่เมืองเวสาลีมีส่วนสะท้อนการวางแผน แบ่งแยกเขตที่มีการแพร่ระบาด ออกจากเขตที่ปลอดภัยออกเป็นชั้นๆดังปรากฏ
พระเจ้าพิมพิสารเมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปยังเมืองเวสาลีก็ทูลให้พระพุทธองค์เสด็จรอก่อนเพื่อเตรียมเส้นทางเสด็จให้ โดยในอรรถกถาอธิบายการเตรียมเส้นทางเสด็จนี้เอาไว้อย่างมีรายละเอียด
“…ครั้งนั้นแล พระเจ้าพิมพิสารทรงกระทำพื้นที่ประมาณ ๕ โยชน์ในระหว่างเมืองราชคฤห์และแม่น้ำคงคาให้สม่ำเสมอ แล้วให้สร้างวิหารไว้ในสถานที่โยชน์ละ ๑ แห่ง แล้วให้กราบทูลเวลาเสด็จแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปแวดล้อม เสด็จไปแล้ว พระราชารับสั่งให้โปรยดอกไม้ ๕ สีตลอดหนทาง ๕ โยชน์ถึงแค่เข่า รับสั่งให้ยกธงชัย ธงแผ่นผ้า ตั้งหม้อน้ำที่เต็มเอาไว้ และต้นกล้วยเป็นต้น ทรงให้ยกเศวตฉัตร ๒ ชั้นเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า และเศวตฉัตรชั้นเดียวสำหรับพระภิกษุรูปหนึ่งๆ กระทำอยู่ซึ่งการบูชาด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้น พร้อมด้วยบริวารของพระองค์ ทรงนิมนต์ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าประทับอยู่ในวิหารแห่งหนึ่งๆ แล้วทรงถวายมหาทาน แล้วนำเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำคงคาโดยใช้เวลา ๕ วัน…”
จากนั้นพระเจ้าพิมพิสารก็ส่งพระราชสารไปบอกเจ้าเมืองเวสาลีให้เตรียมการแบบเดียวกันกับที่พระองค์ทำ
“…เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้นทรงดำริว่า พวกเราจักทำการบูชาให้เป็นสองเท่า แล้วทรงให้กระทำพื้นที่ประมาณ ๓ โยชน์ในระหว่างเมืองเวสาลีและแม่น้ำคงคาให้สม่ำเสมอ แล้วทรงตระเตรียมเศวตฉัตร ๔ ชั้นเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า และเศวตฉัตร ๒ ชั้นสำหรับภิกษุรูปหนึ่งๆ เมื่อจะกระทำการบูชาจึงได้มาประทับยืนอยู่ ณ ฝั่งแห่งแม่น้ำคงคา…”
พระเจ้าพิมพิสารจึงสร้างเรือขึ้น 2 ลำประดับประดาเพื่อให้พระพุทธเจ้าเสด็จประทับไปเมืองเวสาลีโดยที่มีพระภิกษุ 500 รูปตามเสด็จด้วย โดยพระเจ้าพิมพิสารตามส่งเสด็จโดยลงไปแช่ในน้ำถึงพระศอ และบอกว่าจะรอพระพุทธเจ้าอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาจนกว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับ
ข้อความในเรื่องเล่าข้างต้นดูผิวเผินเหมือนจะเป็นการตระเตรียมการต้อนรับพระพุทธเจ้าอย่างเอิกเกริก มีการโปรยข้าวตอกดอกไม้บนทางเสด็จแทบจะเหมือนกับขบวนเดินธุดงภ์ของบางสำนักใหญ่ที่เป็นข้อวิจารณ์กันอยู่ แต่การเข้าใจว่านี่คือ “ธรรมเนียม” การเตรียมการส่งเสด็จและต้อนรับเท่านั้นดูจะเป็นเรื่องแปลกๆเพราะ
(ก) ในสถานการณ์นี้ทุกคนต่างรับรู้ว่าเป็นห้วงยามที่เกิดเหตุวิกฤติ ไม่ค่อยมีความสมเหตุสมผลที่จะมาเตรียมการต้อนรับกันอย่างเอิกเกริกโดยเฉพาะที่เมืองเวสาลีซึ่ง “ต้องทำให้มากกว่าที่นครราชคฤห์เป็น 2 เท่า”
(ข) ไม่ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จที่ใดที่จะมีการต้อนรับอย่างเอิกเกริก บางครั้งก็เป็นการเสด็จเพียงพระองค์เองหรือพระภิกษุผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง
(ค) การเตรียมการนี้เกิดขึ้นโดยเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าพิมพิสารที่ต้องการให้พระพุทธองค์ประทับรอจนกว่าจะมีการเตรียมเส้นทางเสร็จ ถ้าการเสด็จไปช่วยระงับภัยที่เมืองเวสาลีเป็นเรื่องเร่งด่วน ทำไมต้องมาเสียเวลาจัดทำหลายอย่างให้ “มากพิธีรีตอง” และ “ถ่วงเวลา” เสด็จไปเพื่อเหตุใด
จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์จะเสด็จได้เพียงวันละ 1 โยชน์ รวม 5 วันกว่าจะออกจากภายในนครราชคฤห์ (เขตปลอดภัย) ถึงริมฝั่งแม่น้ำคงคา(ที่เรือจอดอยู่)
จากนั้นก็เสด็จไปโดยทางเรือ(ในเรื่องไม่ได้ระบุระยะทางและเวลา แต่จากแผนที่มีระยะห่างประมาณ 150 กม.)
แล้วจึงเสด็จด้วยวิธีการแบบเดียวกันวันละโยชน์ รวม 3 วันจึงจะขึ้นจากฝั่งแม่น้ำถึงประตูเมืองเวสาลี(เขตโรคระบาด)
ถ้าดูจากแผนที่อินเดียโบราณ (Ānandajoti Bhikkhu, 2013) เมืองเวสาลีกับนครราชคฤห์เป็นสองเมืองที่เชื่อมต่อกันได้โดยแม่น้ำคงคา ด้วยระยะทางการแพร่ระบาดของโรคทางพื้นดินอาจทำไม่ได้ง่ายเหมือนกับทางน้ำโดยอาศัยสาขาของแม่น้ำที่เชื่อมต่อระหว่าง 2 เมือง หากคิดตามแผนฉากสถานการณ์นครราชคฤห์เมื่อรู้ข่าวโรคระบาด ก็ต้องมีการเพิ่มการคัดกรองและกักกันคนที่เดินทางเข้ามาในเมือง(โดยเฉพาะคนที่หนีภัยมาจากเวสาลี) ดังนั้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารรู้ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปที่เวสาลีการตั้งด่านคัดกรองก็ต้องมีความเข้มงวดมากขึ้น และอาจต้องมีการกำหนดเขตพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อออกเป็นขั้นๆ พร้อมทั้งมีกระบวนการทำให้ “พื้นที่ปลอดเชื้อ” (ดังน่าจะสะท้อนจากการบูชาด้วยดอกไม้และของหอม-ซึ่งน่าจะมีลักษณะเป็นยาเพราะเมื่อเมืองเวสาลีเริ่มฟื้นชาวเมืองจะเอาของหอมไปทาตามบ้านเรือน) ซึ่งจะเห็นได้จากที่พระเจ้าพิมพิสารได้ “สั่ง” ให้กษัตริย์เมืองเวสาลีทำแบบเดียวกันแต่มากกว่าเป็น 2 เท่า นั่นเพราะเขตพื้นที่เมืองเวสาลีมีความเสี่ยงและง่ายต่อการติดเชื้อมากกว่านั่นเอง อีกทั้งการที่พระราชาทั้งสองเมืองเสด็จส่งและรับพระพุทธเจ้าโดยลงไปในน้ำถึงพระศอ(คอ)การอาจตีความได้ว่าเป็นตัวอย่างเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและขวัญกำลังใจให้แก่ชาวเมือง
(ค) การจัดการวิกฤต (Crisis management): ฝนโบกขรพรรษตกและน้ำท่วมใหญ่ในเมืองเวสาลี
เมื่อเรือที่พระพุทธเจ้าประทับล่องไปจากเมืองราชคฤห์สู่เวสาลี “เทวดาทั้งหลายในเบื้องบนจนถึงอกนิษฐพรหมได้กระทำการบูชา. นาคทั้งหลายมีนาคพวกกัมพลัสสตระเป็นต้นผู้อาศัยอยู่ที่ภายใต้แม่น้ำคงคา กระทำแล้วซึ่งการบูชา” เมื่อเข้าเมืองเวสาลี 1 โยชน์ชาวเมืองก็ทำการบูชายิ่งใหญ่ โดยกษัตริย์ลิจฉวีได้มารอต้อนรับพระพุทธเจ้าในแม่น้ำคงคาโดยแช่ในน้ำถึงพระศอและกระทำบูชามากกว่าพระเจ้าพิมพิสารเป็น 2 เท่าจึงเกิดเหตุขึ้นคือ
“…โดยขณะนั้นนั่นเอง โดยครู่นั้น มหาเมฆซึ่งมียอดแผ่ออกไปด้วยความมืดมน มีสายฟ้าปลาบแปลบ คำรามอยู่ ตกแล้วทั้ง ๔ ทิศ… ”
และเมื่อพระพุทธองค์ก้าวพระบาทลงจากเรือขึ้นฝั่งแม่น้ำคงคาที่เมืองเวสาลี
“…(เท่านั้น) ฝนโบกขรพรรษก็ตก คนเหล่าใดต้องการจะเปียก คนเหล่านั้นเท่านั้นจึงเปียก คนที่ไม่ต้องการเปียกก็ไม่เปียก น้ำประมาณแค่เข่า แค่ขา แค่สะเอว แค่คอ ย่อมไหลไปในที่ทั้งปวง ซากศพทั้งปวงถูกน้ำพัดพาไปในแม่น้ำคงคา ภาคพื้นก็บริสุทธิ์…”
กษัตริยลัจฉวีจึงทูลให้พระพุทธเจ้าเสด็จประทับในวิหารทุกๆกึ่งโยชน์ โดยถวายมหาทานเป็น 2 เท่า ซึ่งใช้เวลา 3 วันจึงเสด็จถึงกรุงเวสาลี มีพระอินทร์และเทวดาชั้นสูงมารอรับเป็นจำนวนมากและทำให้อมนุษย์หนีไปเป็นจำนวนมาก
ถ้าตัดเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์และเหนือธรรมชาติออกไป (ซึ่งจริงแล้วในกรอบโลกทัศน์ของพุทธศาสนาพอมีวิธีอธิบายว่าการเสด็จถึงของพระพุทธเจ้าทำให้เกิดฝนตกหนักได้ แต่คงยังยากที่จะอธิบายฝนโบกขรพรรษที่ใครอยากให้เปียกหรือไม่เปียกก็สั่งได้ดังใจนึก-ยกเว้นจะเปรียบเทียบเชิงอุปมาอุปมัยกับ “วัคซีน” หรือ “ยา” ที่ให้เฉพาะกับผู้ที่ติดเชื้อ) แต่ในที่นี้น่าสนใจว่าฝนที่ตกนั้นตกลงมาหนักมาจนระดับน้ำท่วมเพิ่มสูงขึ้นจนถึงคอและพัดพาเอาซากศพในเมืองไปจนหมด กล่าวง่ายๆคือการเสด็จมาถึงของพระพุทธเจ้าทำให้เกิดเหตุภัยพิบัติอีกอย่างตามมาคือ เกิดอุทกภัยใหญ่ที่เมืองเวสาลี แต่การเกิดภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ใช่การกระหน่ำซ้ำเติมแต่เป็นน้ำท่วมที่ช่วยพัดพาเอาซากศพและความสกปรกอันเป็นสาเหตุของโรคออกไปจากเมืองจนหมดสิ้น ซึ่งในแง่หนึ่งก็คือขั้นตอนการทำลายเชื้อ(Disinfection) ในกระบวนการสมัยใหม่นั่นเอง ซึ่งในแง่นี้สะท้อนว่าพุทธศาสนามองภัยธรรมชาติอย่างเป็นเหตุปัจจัยทางธรรมชาติคือมีทั้งด้านร้ายและด้านดีมากกว่าจะมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายเพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกันกับกรณีที่เมืองเวสาลีเกิดแผ่นดินไหวเพราะพระพุทธเจ้าทรงรับปลงอายุสังขารของพระองค์ซึ่งไม่มีการกล่าวถึงความเสียหายหรือระบุว่าเป็นเหตุวิบัติ
แต่น้ำท่วมใหญ่ก็เป็นการแก้วิกฤติในระยะต้นคือยับยั้งไม่ให้วิกฤติขยายวงและลุกลาม กระนั้นกว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จถึงเมืองเวสาลีก็ต้องผ่าน “เขต” หรือ “ด่าน” โดยหยุดทุกๆครึ่งโยชน์ใช้เวลา 3 วันกว่าจะถึง ในขั้นตอนต่อไปก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จเข้าเมืองสิ่งที่ทรงให้ทำคือ เสกน้ำมนต์ด้วยรัตนสูตร เพื่อให้พระอานนท์นำไปประพรมทั่วเมืองเวสาลีซึ่งเป็นการทำลายต้นตอของโรคระบาด หรือเป็นการทำลายแมลงหรือสัตว์นำโรค (Disinsection) จนถึงที่สุด
“… พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ที่ประตูพระนคร ตรัสเรียกพระอานนท์มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงเรียนรตนสูตรนี้ แล้วถืออุปกรณ์แห่งพลีกรรม พร้อมด้วยลิจฉวีกุมารทั้งหลาย เที่ยวไปอยู่ในระหว่างกำแพง ๓ ชั้นแห่งเมืองเวสาลี จงกระทำพระปริตร (ป้องกัน) ดังนี้แล้วได้ตรัสรตนสูตร…”
“…ในวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังเสด็จไม่ถึงเมืองเวสาลีนั้นแล ท่านพระ อานนท์ได้เรียนรตนสูตรนี้ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพื่อกำจัดอุปัทวะเหล่านั้นที่ประตูพระนครเวสาลี สวดอยู่เพื่อป้องกัน ใช้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าตักน้ำ เที่ยวประพรมอยู่ทั่วพระนคร
ก็เมื่อพระเถระกล่าวคำว่า ยงฺกิญฺจิ เท่านั้น พวกอมนุษย์ทั้งหลายที่อาศัยกองหยากเยื่อและประเทศแห่งฝาเรือนเป็นต้น ซึ่งยังไม่หนีไปในกาลก่อนก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง ๔. ประตู (ทั้ง ๔) ไม่มีที่ว่าง ต่อจากนั้นอมนุษย์บางพวก เมื่อไม่ได้ที่ว่าง (โอกาส) เพื่อออกไปที่ประตูทั้งหลายก็ทำลายกำแพงหนีไป…”
(ง) การเรียนรู้ขององค์การ (Organization learning): การเจริญรัตนสูตรเพื่อระงับภัยพิบัติ
หลังเหตุภัยพิบัติคลี่คลายลง พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงการเรียนรู้รัตนสูตรต่อพระสงฆ์ เทวดา(พระอินทร์) พระราชา และชาวเมือง การสวดมนต์และพิธีกรรมปลุกเสกน้ำพระพุทธมนต์เพื่อขับไล่อุปัทวะและอัปมงคลทั้งหลายนี้ยังคงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันในยุคปัจจุบันซึ่งในความคิดของชาวพุทธสมัยใหม่อาจมองเห็นเป็นแค่พิธีกรรมความเชื่อเพื่อความเป็นสิริมงคลและให้กำลังใจมากกว่าจะมีผลในทางปฏิบัติจริง(คือความสามารถในการระงับเหตุภัยพิบัติ)
การเจริญพระพุทธมนต์มีความหมายได้ใน 2 ระดับคือ 1) ความหมายทางภาษา 2) ความหมายเชิงรหัสนัยะ ซึ่งอย่างหลังนั้นการภาวนา “มนตรา”(mantra)จะเชื่อกันว่ามีผลต่อสิ่งภายนอกมาตั้งแต่ยุคพระเวท ซึ่งคนปัจจุบันได้สูญเสียการเข้าใจความหมายเชิงรหัสนัยะและการปฏิบัติของเรื่องมนต์และพิธีกรรมเหล่านี้ไปเกือบหมด ที่ทำกันก็คือทำต่อๆกันมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ(หรือสวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทอง) จะเห็นว่าตามเรื่องเล่านี้พุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องพิธีกรรมเหล่านี้(รวมถึงความเชื่อตามรหัสนัยะของพิธีกรรม) แต่พุทธศาสนาได้เปลี่ยน “ความหมายทางภาษา” ของพิธีกรรมเหล่านี้มาให้เป็นคำสอนและหลักธรรมของพุทธศาสนาแทนดังปรากฏในบทสวดรัตนสูตร
ในบทสวดรัตนสูตรจะแตกต่างจากมนตราในคัมภีร์พระเวทที่เป็นการสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความต้องการอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เนื่อหาในรัตนสูตรไม่เกี่ยวข้องใดๆกับการขับไล่อุปัทวะหรืออัปมงคลแต่อย่างใด หากเป็นการสวดเพื่อสรรเสริญว่าพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คือรัตนะที่เหนือกว่ารัตนะอื่นๆทั้งปวง
“…ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้หรือในโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีตในสวรรค์ ทรัพย์และรัตนะนั้นเสมอด้วยพระตถาคตไม่มีเลย พุทธรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจะวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้
พระศากยมุนีผู้มีพระหฤทัยดำรงมั่น ได้บรรลุธรรมใดอันเป็นที่สิ้นกิเลส เป็นที่สำรอกกิเลส เป็นอมฤตธรรมอันประณีตธรรมชาติอะไรๆ อันสมควรด้วยพระธรรมนั้นย่อมไม่มีธรรมรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดทรงสรรเสริญแล้วซึ่งสมาธิใด ว่าเป็นธรรมอันสะอาด บัณฑิตทั้งหลายกล่าวสมาธิใด ว่าให้ผลในลำดับสมาธิอื่นเสมอด้วยสมาธินั้นย่อมไม่มี ธรรมรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่สัตว์เหล่านี้
บุคคล ๘ จำพวก ๔ คู่ อันสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นควรแก่ทักษิณาทาน เป็นสาวกของพระสุคต ทานที่บุคคลถวายแล้วในท่านเหล่านั้นย่อมมีผลมาก สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้
พระอริยบุคคลเหล่าใดในศาสนาของพระโคดม ประกอบด้วยดีแล้ว(ด้วยกายประโยคและวจีประโยคอันบริสุทธิ์) มีใจมั่นคงเป็นผู้ไม่มีความห่วงใย (ในกายและชีวิต) พระอริยบุคคลเหล่านั้น บรรลุอรหัตผลที่ควรบรรลุหยั่งลงสู่อมตนิพพานได้ซึ่งความดับกิเลส โดยเปล่าเสวยผลอยู่ สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้…”
ในรัตนสูตรกล่าวอย่างชัดเจนว่าพระรัตนตรัยนั้นประเสริฐเหนือรัตนะอื่นๆ แม้ว่าจะยังจะเป็นผู้ประมาท หรือยังคงมีบาป ไม่ใช่ผู้บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุดก็ตาม
“…เสาเขื่อนที่ฝังลงดิน ไม่หวั่นไหวเพราะลมทั้งสี่ทิศ ฉันใด ผู้ใดพิจารณาเห็นอริยสัจทั้งหลาย เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นสัตบุรุษ ผู้ไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรม มีอุปมาฉันนั้น สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้…”
“…พระอริยบุคคลเหล่าใด ทำให้แจ้งซึ่งอริยสัจทั้งหลาย อันพระศาสดาทรงแสดงดีแล้ว ด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง พระอริยบุคคลเหล่านั้น ยังเป็นผู้ประมาทอย่างแรงกล้าอยู่ก็จริง ถึงกระนั้นท่านย่อมไม่ยึดถือเอาภพที่ ๘ สังฆรัตนะแม้นี้เป็น รัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้…’
“…พระอริยบุคคลนั้น ยังทำบาปกรรมด้วยกายด้วยวาจา หรือด้วยใจก็จริง ถึงกระนั้น ท่านก็ไม่ควรเพื่อจะปกปิดบาปกรรมอันนั้น ความที่บุคคลผู้มีธรรมเครื่องนิพพานอันตนเห็นแล้ว เป็นผู้ไม่ควรเพื่อปกปิดบาปกรรมนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้…’
4. สรุป
พุทธศาสนามองเรื่องภัยพิบัติในเชิง”ธรรมชาตินิยม” (พระวีระพงษ์ อธิจิตฺโต, 2554; Dhammika, 2015) มากกว่าคริสต์ศาสนา โดยที่
(1) ภัยพิบัติทางธรรมชาติอยู่ภายใต้กรอบของ “ไตรลักษณ์” ของความเปลี่ยนแปลง คงอยู่ไม่ได้และมีเหตุปัจจัยสืบเนื่องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว พุทธศาสนาและศาสนาฮินดูมองธรรมชาติและเวลาอย่างเป็นวัฏฏะ คือแม้จะเกิดการทำลายล้างจักรวาลหรือโลกธาตุด้วยธาตุต่างๆตามยุคตามสมัย หรือด้วยเทพเจ้าผู้สูงสุด แต่จักรวาลหรือโลก หรือ ธรรมชาติก็จะกำเนิดขึ้นมาใหม่ ต่างจากคริสต์ศาสนาที่มองจักรวาลในฐานะสิ่งที่มีเป้าหมาย มีจุดสุดท้าย และการมองเวลาที่เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเป็นเส้นตรง มีจุดเริ่มต้น มีจุดสิ้นสุด ซึ่งทำให้เข้าใจและเห็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ(โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับ “การสิ้นโลก”, “การสิ้นยุค” หรือ การตัดสินครั้งสุดท้าย”)เป็นเรื่องสำคัญ น่ากลัว น่าตื่นตระหนก
(2) แม้พุทธศาสนาจะมองว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติจะมีสาเหตุที่ไม่ได้มาจากตัวธรรมชาติเอง(เช่น เกิดจากผู้มีฤทธิ์ หรือ เหตุการณ์สำคัญในช่วงชีวิตของพระพุทธเจ้า) แต่พุทธศาสนามีคำอธิบายเชิงสาเหตุของภัยธรรมชาตินั้นว่าเป็นความแปรปรวนในธรรมชาตินั่นเอง ไม่ใช่การดลบันดาลของพระเจ้า เทพเจ้า แต่เพียงอย่างเดียว
(3) ภัยธรรมชาติที่เป็นไปตามกฏหรือนิยามของธรรมชาติ “อุตุนิยาม” สัมพันธ์และแยกไม่ได้กับกฏธรรมชาติอื่นๆ เช่น “พีชนิยาม” หรือ “จิตนิยาม” หรือ “กรรมนิยาม” เช่น แผ่นดินไหว ทำให้เกิดทุกข์ภายนอก ทุกข์ทำให้เกิดความลำบาก ความยากลำบากถ้าไม่จัดการให้อยู่ในครรลองคลองธรรมจะทำให้เกิดการเบียดเบียน เกิดการแย่งชิง เกิดการก่อกรรมต่อกัน เกิดเป็นทุกข์ภายในใจฯลฯเป็นต้น นิยามและกฏธรรมชาติแต่ละข้อจะผูกร้อยกันดุจห่วงโซ่สืบเนื่องกันไป
(4) พุทธศาสนาไม่ได้มองว่าภัยพิบัติเป็นสิ่งชั่วร้ายโดยตัวมันเอง ต่างจากคริสต์ศาสนาที่มองปัญหาภัยพิบัติว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย ดังที่พระพุทธเจ้าใช้ภัยพิบัติแก้ปัญหาภัยพิบัติที่เมืองเวสาลีเป็นต้น แต่ปัญหาความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งที่พุทธศาสนาอาจต้องเจอก็คือความเชื่อในลัทธิ “กรรมเก่า” ที่ว่าคนที่ตายเพราะภัยพิบัติเป็นเพราะกรรมเก่า หรือเมืองที่ถูกทำลายล้วนเป็นเพราะเวรกรรมรวมหมู่ของชาวเมืองซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจที่ผิด เพราะดังที่กล่าวมาแล้วว่า “กรรมนิยาม” คือหนึ่งในกฏธรรมชาติเท่านั้น (O’Brien, 22 Jan 2018)
(5) การรับมือกับภัยพิบัติตามหลักพุทธศาสนาคือ เข้าใจว่าภัยพิบัติเป็น “ธรรมชาติ” อย่างหนึ่ง และการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทในธรรมชาติ มีสัมมาทิฐิต่อธรรมชาติ ไม่ยึดในมิจฉาทิฐิต่อธรรมชาติดังในทัศนะวัตถุนิยม ทุนนิยมและลดทอนนิยม (ศิริวรรณ โอสถานนท์, 2535) หรือ
“…มนุษย์เชื่อกันว่าตัวเองเป็นนาย ผู้ถืออาญาสิทธิ์เหนือโลกและสิ่งแวดล้อม มนุษย์เชื่อกันว่ามีสิทธิที่จะช่วงใช้โลกนี้อย่างไรก็ได้ตามใจฉัน มนุษย์หลงตัวเองเชื่อมั่นว่าจะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ซึ่งเรียกว่า มิจฉาทิฐิต่อโลก และส่งผลให้เกิด มิจฉาปฏิบัติ คือ อยู่กับโลกด้วยท่าทีที่เป็นศัตรู มองว่าโลกนี้ รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ และประมาท เชื่อว่าสามารถจัดการกับธรรมชาติได้ เชื่อว่าสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้โดยสิ่งหนึ่งที่ตามมาจากความเชื่อมั่นผิดๆ ก็คือ อหังการจากผลลัพธ์ที่ยับเยินหลังเผชิญภัยธรรมชาติ ซึ่งมีบทเรียนสำคัญเกิดขึ้นให้เห็นชัดเจนมากมายในระยะนี้ ทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไทย…” (ว.วชิรเมธี อ้างใน Thaihealth.or.th., 31 มี.ค. 2554)