ทิศทางไทยเสนอ​รับมือ​สกัดเสี่ยง​ โคโรน่า​ outbreak​ ต้องทำอย่างบูรณาการ​

0

ทิศทางไทยเสนอรับมือสกัดเสี่ยงโคโรน่า​ outbreak​ ต้องทำอย่างบูรณาการ

.

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019  โดยทางด้านรศ.ดร.แสงเทียน อยู่เถา อาจารย์ด้านเวชสารสนเทศ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนักวิชาการสถาบันทิศทางไทย ได้ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ระบุว่า..

.

สถานการณ์ตอนนี้มันน่ากังวลเป็นอย่างมากเนื่องจาก1. ไวรัสเป็นการอุบัติใหม่ 2. เกิดขึ้นจากประเทศจีน แม้ทุกครั้งที่ผ่านมาจะเกิดขึ้นในประเทศจีน แต่ครั้งนี้ที่น่ากลัวกว่าเพราะคนจีนขณะนี้ออกเดินทางท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศมากกว่าเดิมเป็นอย่างมาก อีกทั้งคนจีนยังเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นก็บ่งบอกได้ว่าโอกาสที่เชื้อไวรัสจะแพร่ระบาดในไทยเป็นไปได้สูง ถ้ามีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก  ไทยจะเป็นประเทศที่อันตรายที่สุด

.

สำหรับการรับมือกับวิกฤตดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้น รศ.ดร.แสงเทียนระบุว่า  เราควรรู้ทันแต่ไม่ตื่นตระหนกควรจะตื่นรู้แต่ไม่ตื่นตระหนก  ที่ผ่านมาตนได้ศึกษาเรื่องการกระจายของไวรัสที่เกี่ยวข้องกับไข้หวัดใหญ่ ซึ่งใกล้เคียงกับไวรัสโคโรน่า เพราะชื่อไวรัสโคโรน่าจริงๆแล้วทำให้เกิดไข้หวัดธรรมดา ซึ่งไข้หวัดนั้นไม่เหมือนไข้หวัดใหญ่ สังเกตง่ายๆก็คืออาการปวดเมื่อยตัวจะไม่มีและอาการไข้ก็จะน้อยกว่า 

.

แต่เรื่องที่น่ากลัวก่อนหน้านี้มีการระบาดของไวรัสรอบที่2คือ เมอร์ส(รอบแรกเกิดไวรัสซาร์ส) ซึ่งมาจากตะวันออกกลาง ผู้ที่ติดเชื้อมีมากกว่า80% ซึ่งเชื่อมโยงมาจากซาอุดิอาระเบีย ตอนนั้นมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากประมาณ 30% หรือ ถ้าติดเชื้อ3คนจะเสียชีวิต 1คน จึงเป็นเหตุให้กังวลว่าการระบาดโคโรน่า ณ ปัจจุบัน จะทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่

.

ที่สำคัญช่วงนี้อยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ผู้คนเดินทางมหาศาล แม้จะปิดเมืองอู่ฮั่นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีคนที่หลุดรอดออกไปจากอู่ฮั่นแต่เดิมออกไปเมืองอื่น ๆและตอนนี้ได้ตรวจพบว่าไวรัสดังกล่าวสามารถระบาดจากคนสู่คนได้  เป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก

.

สิ่งที่น่าเป็นห่วงและอยากจะฝากเตือนประชาชน เนื่องจากตอนนี้ประเทศไทยเราเผชิญกับวิกฤตฝุ่นพิษPM2.5  ซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอในเเรื่องทางเดินระบบหายใจอยู่แล้ว โอกาสที่ติดไวรัสได้ง่ายยิ่งขึ้น มีความเสี่ยงสูง

.

ดังนั้นตอนนี้สถานการณ์ในประเทศไทยจึงต้องทวีคูณในการที่จะเฝ้าระวังให้ความรู้ต่างๆต้องเป็นวาระแห่งชาติ  ในฐานะที่เป็นคนไทยรวมถึงรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ไม่จำเป็นต้องรอ องค์การอนามัยโลก ( World Health Organization หรือ WHO) ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินเมื่อไหร่ เมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ที่เมืองจีนเป็นอย่างไร ซึ่งประเทศไทยเป็นจุดแรกที่คนจีนเดินทางมา และมาเป็นจำนวนมากที่สุด จึงต้องเฝ้าระวังที่ประเทศไทยมากที่สุดอยู่แล้ว นี่เป็นหลักการอย่างง่ายๆ

.

ในข้อเท็จจริงเรามีข้อตกลงความร่วมมือ เรื่องการดำเนินงานด้านสุขภาพหนึ่งเดียวเพื่อความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศ (MOU)  ก็คือ One Health คือโรคไม่ใช่โรคที่กระทรวงสาธารณสุขจะมาดูแล  เพราะลักษณะของ One Health เป็นการบูรณาการ หมายถึงอาจจะเกิดมาจากสัวต์หรือการจากสิ่งแวดล้อมที่ผิดปกติเกิดขึ้น ทั้งPM2.5และไวรัสโคโรน่าแค่มันมาผมพร้อมกันแบบนี้นี่คือตัวอย่างของการบูรณาการอย่างยิ่ง และคนที่จะต้องมาดำเนินการไม่ใช่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ไม่ใช่แค่กระทรวงสาธารณสุขมาสั่งการ แม้กรมควบคุมโรคจะอยู่ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุขต้องมาดูแลแต่เรื่องนี้มันเกินกว่านั้น

.

มีความผิดปกติเกิดขึ้นในประเทศเราก็คือตอนนี้เราไม่ได้บูรณาการเรื่องนี้กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเลย ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องมี War room ไม่ใช่มีWar room แค่เรื่องการเมือง..แต่นี่มากกว่าเรื่องการเมือง

.

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแต่มันเป็นมหันตภัยไวรัสเพราะถ้ามันเกิดขึ้นคนจะตกใจตื่นตระหนกแทนที่จะตื่นรู้ จึงต้องเกิดจากการประชาสัมพันธ์ให้คนได้เห็นว่า ตอนนี้เราทำอะไรอยู่บ้างบูรณาการกับส่วนงานไหนบ้าง โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องมาด้วยกัน ยังไม่รวมถึงท่าอากาศยาน และอื่นๆ

.

มีข้อสังเกตว่าตั้งแต่เกิดไวรัสโคโรน่า 2019 เกิดขึ้น การทำงานในภาคส่วนของโฆษกรัฐบาล ยังไม่ค่อยได้เห็นหรือได้ยินอะไรมากนัก ทั้งที่จริงแล้วโฆษกรัฐบาลต้องเป็นแม่งานเสียด้วยซ้ำ โดยต้องบูรณาการตั้งแต่กรมประชาสัมพันธ์ ช่องทางการประชาสัมพันธ์ทุกเครือข่าย ต้องมีผู้บัญชาการเหตุการณ์เพราะตอนนี้เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่เฉพาะแค่นักท่องเที่ยวจีนแต่เกิดขึ้นกับคนไทย แสดงว่าตอนนี้ไวรัสโคโรน่ามันมาถึงตัวเราแล้ว

.

อีกทั้งเมื่อรู้อยู่แล้วว่าไวรัสโคโรน่ามีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดจากคนสู่คน ซึ่งไม่เหมือนจากสัตว์สู่คน  คือถ้าสัตว์สู่คน เวลาเราตรวจพบจากเที่ยวบิน หนึ่งคนในเที่ยวบินลำนี้เราก็จะกักตัวแต่คนนั้น ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ชี้ชัดแล้วว่าไวรัสสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้จะต้องกักคนทั้งลำ แต่การที่จะกักตัวทั้งลำ นั่นก็หมายความว่าเริ่มวิกฤตหากประชาชนไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น หรืออาจเกิดเหตุการณ์ต่างๆที่เหนือการคาดหมายในอนาคต ต้องเผื่อไว้ก่อน ดังนั้นจะต้องมีคณะกรรมการหรือทีมงาน หรือผู้ที่สามารถบอกได้ว่าหากจำเป็นต้องกักตัว จะมีวิธีอย่างไร มีมาตรการในการรักษาอย่างไร หรือจะระดมทีมกันอย่างไร และเราต้องป้องกันความเสี่ยงให้กับคนที่จะต้องไปรักษา รวมไปถึงเครื่องมือต่างๆด้วย รวมไปถึงความวุ่นวายต่างๆอาจจะเกิดขึ้นตามมา อาทิ การกระตุ้นสินค้า ซึ่งก็ในเห็นในเมืองอู่ฮั๋นแล้ว

.

ที่สำคัญตอนนี้เราเป็นผู้นำอาเซียน ในฐานะผู้นำอาเซียนเรารู้ว่าในขณะนี้ ทั้งกรณีPM2.5 จากการในเผาในพื้นที่ต่างๆของภูมิภาค หรือการระบาดของไวรัสโคโรน่า เพราะฉะนั้นการที่จะออกมาของกระทรวงการต่างประเทศในการที่จะทำให้เห็นภาพว่าประเทศไทยคือผู้นำอาเซียนที่แท้จริง และกำลังดำเนินการในเชิงวิชาการทั้งการเตรียมการประชาสัมพันธ์เฝ้าระวังและรุกไปข้างหน้า หากเกิดวิกฤติแบบนั้นไทยจะต้องทำอะไร  ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ที่เราเคยดู แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นจริง นี่จึงเป็นความสำคัญและความจำเป็นที่ทุกหน่วยงานจากต้องทำอย่างบูรณาการ​

.