จากกรณีที่ทวิตเตอร์ เผยว่าลบบัญชีผู้ใช้งานกว่า 170,000 บัญชี เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการ เผยแพร่ข้อมูลที่มีเนื้อหาที่เอื้อประโยชน์และสนับสนุนประเทศจีน
13 มิ.ย.63 ทวิตเตอร์ ระบุว่า บัญชีที่เคลื่อนไหวในลักษณะของปฏิบัติการด้านข่าวสารเหล่านี้จะเผยแพร่ข้อความเท็จเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งสถานการณ์การเมืองในฮ่องกง โดยมีจำนวนกว่า 170,000 บัญชี ที่จัดการ โดยแบ่งเป็นแอคเคาท์หลักที่มีความเคลื่อนไหวสูง ที่เป็นต้นทางของการแชร์ข้อมูลจำนวน 23,750 บัญชี และแอคเคาท์ที่ปั่นกระแสข่าวหรือเนื้อหาอีก 150,000 บัญชี
โดยเป็นการทวีตข้อความด้วยภาษาจีนเป็นหลัก รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในขณะเดียวกันก็เผยแพร่ข้อความที่เป็นเท็จ เกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองในฮ่องกง ทวิตเตอร์ ระบุ
ผู้ให้บริการไมโครบล็อกสัญชาติอเมริกัน ชี้ว่า เครือข่ายของจีนเหล่านี้ มีฐานปฏิบัติการอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน
และมีความเชื่อมโยงกับปฏิบัติการที่รัฐบาลจีนที่ให้การสนับสนุน บริษัทเคยเปิดโปงและระงับการใช้งานไปพร้อมผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊กและยูทิวบ์ไปเมื่อปีที่แล้ว
นอกจากนี้ทวิตเตอร์ ยังได้จัดการบัญชีที่มีพฤติกรรมเคลื่อนไหวคลายกันในต่างประเทศอีกกว่า 8 พันบัญชี โดยแบ่งเป็น 7,340 บัญชี ที่เคลื่อนไหวเกียวกับตุรกี อีก 1,152 บัญชีที่เกียวข้องกับรัสเซีย โดยโฆษณาชวนเชื่อที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัสเซีย จะมีการเผยแพร่ข้อความสนับสนุนพรรคยูไนเต็ด รัสเซีย ของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน รวมทั้งข้อความโจมตีกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง
ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้ทวิตเตอร์ไทยหวั่นถูกสอดส่องพฤติกรรม โดยเมื่อวันที่ 13 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ได้เปิดตัวบัญชีทางการของ”ทวิตเตอร์ประจำประเทศไทย” หรือ @TwitterThailand แต่ผู้ใช้งานชาวไทยกลับแสดงท่าทีไม่ยอมรับ โดยแฮชแท็ก #ไม่เอาทวิตเตอร์ไทยแลนด์ ขึ้นเทรนดิ้งอันดับ 1 ในช่วงค่ำวันเดียวกัน โดยมีการโพสต์ข้อความไม่เห็นด้วยหลายแสนข้อความ เพราะผู้ใช้งานเชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการสอดส่องพฤติกรรมประชาชนบนโลกออนไลน์โดยรัฐบาลไทย
โดยสาเหตุที่ผู้ใช้งานชาวไทยเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น เพราะมาจากเนื้อหาในบทความของ อาร์วินเดอร์ กุจราล กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของทวิตเตอร์ ได้พูดถึงที่มาของการเปิดตัวบัญชีดังกล่าว
โดยพูดถึงนโยบายการดำเนินงาน “เชิงรุก” และความร่วมมือในไทยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมามากกว่า 12 เดือน
กับองค์ผลไม่แสวงผลกำไร (NGOs)รวมถึงหน่วยงานของรัฐ เพื่อสนับสนุนประเด็นสำคัญ
ได้แก่ การเสริมสร้างบทบาทและการมีส่วนร่วมในสังคมของผู้หญิง, เสรีภาพสื่อ, วันสุขภาพจิตโลก ,โรคโควิด-19
ขอบคุณข้อมูล:BBC
