ไม่ล้มกษัตริย์แต่มีพฤติการณ์ ล้มล้างประชาธิปไตย?
ดร.เวทิน ชาติกุล สถาบันทิศทางไทย
สรุปประเด็น: พิเคราะห์ เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ คิด–พูด–ทำ ไม่ใช่แค่ ปฏิกษัตริย์นิยม (anti-royalism) แต่อาจเป็น ปฏิประชาธิปไตยนิยม (anti-democratism) ด้วย
ผม และนักวิชาการทิศทางไทย ย้ำมาตลอดว่า “ปฏิกษัตริย์นิยม” ไม่ใช่ “ล้มเจ้า“
ใครบอกว่า “ปฏิกษัตริย์นิยม” = “ล้มเจ้า” = “ล้มล้างการปกครอง” แสดงว่ากำลังมั่ว หรือ สับสนในตัวเอง
รวมถึง ทั้งผู้ถูกร้อง ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล และผู้ร้อง ดร.ณฐพร โตประยูร ด้วย
เหตุผลเพราะ “ปฏิกษัตริย์นิยม” หมายถึง ความคิดว่า ระบบกษัตริย์ (monarchy) ไปด้วยกันไม่ได้กับ เสรีประชาธิปไตยแบบตะวันตก (western liberal-democracy) (และไม่สนับสนุนการปรับระบอบประชาธิปไตยตะวันตกตามบริบทสังคมตะวันออกหรือสังคมเดิม)
อุดมการณ์แบบอนาคตใหม่ต้องการ ประชาธิปไตยแบบตะวันตก ประชาธิปไตยบริสุทธิ์ แน่นอนว่าโดยหลักการของพวกเขาย่อมเป็นขั้วตรงข้าม (ปฏิ) กับ ระบบกษัตริย์ อยู่แล้ว
แต่เป็น “ปฏิ” ก็ไม่ได้แปลว่าต้อง “ล้มล้าง” (overthrown) หรือ “รื้อทิ้ง” (abolitionism) หรือ “ทำให้สูญสิ้น” (annihilationism) เสมอไป
ใช่ครับ อุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม ก็เป็น ปฏิกษัตริย์นิยม แต่เป็นแบบ “สุดโต่ง” (extreme-anti royalist) (ที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ “กษัตริย์นิยมล้นเกิน” (hyper-royalism) ที่ปิยบุตรพูดถึงในงานแถลงปิดคดีที่ มธ.รังสิต (18 ม.ค.2563) และเคยสุดโต่งกันทั้งสองฝ่ายจนเกิดเหตุโศกนาฏกรรม 6 ตุลาฯขึ้น)
แต่ต่อสาธารณะ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร พรรคอนาคตใหม่ ยังไม่ได้แสดงความ “สุดโต่ง” แบบนั้นออกมาอย่างประจักษ์ชัด ด้วยเหตุผลที่มิอาจคาดหยั่ง เช่น ไม่ได้คิดสุดโต่งจริงๆ หรือ อาจรู้ช่องว่างของกฏหมาย ใช้การตีความวิชาการ ทำให้เกิดความคลุมเครือ เลี่ยงบาลี เป็นไปได้ทั้งนั้น
ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัย
ไม่ยุบ ไม่ได้แปลว่าไม่ได้ทำผิด
“กรณีการกระทำอื่นใด ของผู้ถูกร้องทั้ง ๔ จะเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นหรือไม่ จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป” (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้องคดีพรรคอนาคตใหม่ล้มล้างการปกครอง 21 ม.ค.2563)
ทัศนะ การพูด แสดงความเห็น ของธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ วานิช และพรรคอนาคตใหม่ ใช่ว่าจะไม่ผิด แต่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายข้ออื่นได้ (เช่น ม.112) แต่ไม่ใช่กฎหมายข้อล้มล้างการปกครอง
ชัดเจนว่า สิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ต้องการจะทำ และจะดึงดันทำเอาให้ได้ คือ การทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง (เช่น พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนต่อรัฐสภา ไม่ใช่ รัฐสภาต้องสาบานตนต่อพระมหากษัตริย์ หรือ พระมหากษัตริย์ต้องพิทักษ์ไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ (เพื่อไม่ให้เกิดรัฐประหาร))
ในทางประจักษ์ พรรคอนาคตใหม่ต้องการ “กำกับ” “ควบคุม” หรือกระทั่ง “ลดทอน” ให้ “พระราชอำนาจ” อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (เช่น ยกมือไม่เห็นชอบ พ.ร.ก.โอนกำลัง (แม้จะอ้างเหตุผลย้อนแย้งว่าเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม)) ซึ่ง เท่ากับ พรรคอนาคตใหม่เห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ยังไปด้วยกันไม่ได้กับระบบประชาธิปไตยที่ถือรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่
ตัดภาพกลับมาที่รากฐานความคิดของธนาธรในหนังสือ Portrait ธนาธร
“…เราคิดว่า วิธีการของเราคือต้องมีอำนาจและต่อรอง (กับ)××××
นี่ต่างหากคือเป้าหมาย ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เอาทหารออกจากการเมืองไม่ได้หรอก
จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ จัดการเรื่องศาลไม่ได้หรอก
จัดการเหี้ยห่าอะไรไม่ได้…”
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หนังสือ Portrait ธนาธร(2561)
ซึ่งก็คือ ความคิดหรืออุดมการณ์แบบปฏิกษัตริย์นิยม นั่นเอง
ส่วนจะเรียกว่าเป็น mild anti-royalism ก็ตามใจ แต่เป็นแน่ๆ
ดังนั้น ที่ศาลตัดสิน ที่ปิยบุตรพูด ก็ถูกแล้ว คือ ศาลบอกว่ายังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่เพียงพอว่าพรรคอนาคตใหม่มีพฤติการณ์ที่ล้มล้าง และ ในทางเผยแจ้งปิยบุตรก็ยืนยันมาตลอดว่า ไม่ได้ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างน้อยก็เหมือน “จะยอม” ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 2 “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข“
แต่ถ้าไปดูใน มาตรา 3 “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” อันนี้ไม่รู้
เพราะ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวชัดเจน ในการแถลงปิดคดียุบพรรคอนาคตใหม่ว่า “พี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศไทย“
ชัดเจนว่านี่คือ ”ความคลุมเครือ“ ที่พรรคอนาคตใหม่ จงใจให้เกิดขึ้น ตั้งแต่นโยบายของพรรคที่ระบุไว้แค่ “ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ” และศาลสั่งให้ไปแก้ไขไม่ให้คลุมเครือ
ถึงได้บอกว่า พรรคอนาคตใหม่ ยังยืนกรานในหลักการประชาธิปไตยตะวันตกบริสุทธิ์ (pure western liberal-democracy) อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
เรื่อง “ล้มล้างสถาบันฯ” แสดงออกแบบคลุมๆเครือๆไม่มีหลักฐานแบบ “คาหนังคาเขา” ก็ต้องดูกันต่อไป แต่เรื่องที่มีหลักฐานตำหู ตำปาก ตำจมูก ตำปาก ก็คือเรื่องคำโกหกคำโตของปิยบุตร แสงกนกกุล
อันนี้เข้าข่ายเป็น “ปฏิปักษ์” กับหลักประชาธิปไตยเลยทีเดียว
เปลว สีเงิน เขียนไว้ในบทความ “ปิยบุตรยังเป็นคนอยู่หรือไม่?” รายละเอียดอยู่ในนั้น ผมขอเอามาเล่าบางส่วนที่สำคัญและจะชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้มีนัยสำคัญยิ่ง
ซึ่งยังไม่มีใครชี้
ปิยบุตร บอกว่า “…มีการข้อสังเกตว่า พรรคอนาคตใหม่จงใจให้ 4 ส.ส.มีชื่อใน 2 พรรคการเมือง เพื่อให้ขาดคุณสมบัติ ส.ส.หรือไม่นั้น…ยืนยันว่า พรรคไม่ได้กลั่นแกล้ง 4 ส.ส. เพราะไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร เรื่องนี้พรรคมีหน้าที่ส่งเอกสารให้ กกต. แต่ไม่มีหน้าที่ไปรับผิดชอบว่า 4 ส.ส.จะได้พรรคสังกัดใหม่หรือไม่ และกลับกลายเป็นพรรคอนาคตใหม่ที่ต้องชี้แจงให้สังคมเข้าใจ ทั้งที่ 4 ส.ส.โหวตสวนมติพรรคหลายครั้ง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ 4 ส.ส.ที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง…” และ ”จะต้องไปตรวจสอบความถูกต้องเรื่ององค์ประชุมในวันที่ 16 ธ.ค.62 ก่อน ดังนั้นในขณะนี้จึงยังไม่สามารถให้ความชัดเจนได้ว่า มติขับ 4 ส.ส.ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” (ปิยบุตร แสงกนกกุล 15 ม.ค.2563)
แต่ กวินนาถ ตาคีย์ หนึ่งใน ส.ส.ที่ถูกขับออกจากพรรคได้เปิดคลิปเป็นหลักฐานว่าในวันที่ 16 ธ.ค.2562 นั้น ปิยบุตรเป็นประธานได้นับองค์ประชุมระบุว่าครบด้วยตัวเอง
“…เรามาร่วมประชุมกันวันนี้ คู่กรณี คือทั้ง 4 ท่าน ส.ส. ถูกเสนอให้ขับออกจากพรรค ก็จะไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันนี้
เพราะว่า เป็นเรื่องที่เขามีส่วนได้เสียโดยตรง ฉะนั้น เราก็มีองค์ประชุมเท่าที่ปรากฏทั้ง ส.ส.และกรรมการบริหาร
ขออนุญาตเช็กองค์ประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคอนาคตใหม่ครับ….ขออนุญาตเช็กนะครับ..กรรมการบริหารพรรคครับ….ครบนะครับ
เพราะฉะนั้น ตอนนี้มีองค์ประชุมทั้งสิ้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบเขตทั้งหมด 21 ท่าน กรรมการบริการพรรค 12 ท่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ 45 ท่าน
รวมเป็นองค์ประชุมในวันนี้ ทั้งสิ้น 78 ท่าน ครับ…องค์ประชุมเราครบถ้วนนะครับ…”
“…มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คุณกวินนาถ ตาคีย์ คุณฐนภัทร กิตติวงศา คุณจารึก ศรีอ่อน และคุณศรีนวล บุญลือ พ้นจากสมาชิกภาพของพรรคอนาคตใหม่ ขอบคุณครับ ปิดประชุมครับ…”
(ปิยบุตร แสงกนกกุล 16 ธ.ค.2562)
ไม่เชื่อว่าจะเห็นนักการเมืองที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ อ้างตนเป็นความหวังของประเทศ จะกล้าโกหกต่อประชาชนซึ่งๆหน้าได้ขนาดนี้
เปลว สีเงิน ถึงกับตบะแตก ต้องถามว่า”ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?”
แต่สิ่งที่ปรากฏนี้น่าจะเป็น “หลักฐานที่เพียงพอ“ ที่จะบอกว่า ปิยบุตร เป็นปฏิปักษ์ และต้องการล้มล้างประชาธิปไตย
เพราะอะไร? เชิญสดับ
ระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ต้องการเปลี่ยนย้ายถ่ายโอนอำนาจทางการเมืองจาก “อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์” ของคริสต์จักร และ “สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์” ของชนชั้นปกครองในยุโรปในยุคกลางใหม่มาเป็น อำนาจของประชาชน คนธรรมดาทั่วๆไป
การทำให้ประชาชนมีอำนาจ จำเป็นต้องสร้างสถานะศักดิ์สิทธิ์(แบบใหม่)ให้กับ อำนาจของปวงชน เพื่อทดแทน อำนาจศักดิ์สิทธิ์ จาก “สิ่งอื่น” ที่มีมาแต่เดิม (ไม่ว่าจะในนาม “พระเจ้า” หรือ “กษัตริย์” )
ประเด็นก็คือความศักดิ์สิทธิ์ใหม่ที่จะถูกสถาปนาขึ้นมานั้นคืออะไร?
คำตอบที่มีให้ก็คือ “สถานะพิเศษของมนุษย์” (Human Exceptionism)
ปรัชญาและวรรณกรรมตะวันตกสมัยใหม่ในยุโรปสร้าง “เรื่องเล่า” ว่า”มนุษย์” มีสถานะพิเศษ หรือ เป็น “อารยะ” กว่า “ธรรมชาติ” (หมายถึง สิ่งธรรมชาติ รวมถึง สัตว์)
โดยรวมๆ ความพิเศษของมนุษย์นั้นเชื่อว่ามี
1. ความมีเหตุผล
2. ความสามารถรู้และกำหนด(ตัวเอง)ทางศีลธรรม
3. มีสังคม (อารยะ)
4. เจตจำนงค์เสรี
หลักการแบบนี้ มาจากรากฐานความคิดตะวันตกสมัยใหม่แบบ “มนุษย์นิยม” (humanism) ที่มอง คนทุกคนในฐานะ “องค์ประธาน” หรือ “ศูนย์กลางของจักรวาล” อย่างมีความเท่าเทียมและเสมอกัน มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีสิทธิ มีเสรีภาพ มีความเสมิภาค เหมือนกัน
รากฐานคิดแบบนี้มี “สมมุติฐาน” ว่า
1. มนุษย์มีสถานะพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
2. สถานะพิเศษของมนุษย์ที่สำคัญที่สุดก็คือ มีเหตุผล
3. เหตุผล ทำให้มนุษย์เข้าถึง “ความจริง” ได้โดยไม่ต้องพึ่งพิง “สิ่งอื่น” (พระเจ้า, อำนาจศักดิ์สิทธิ์)
4. เหตุผล ทำให้มนุษย์เข้าถึง “ความดีงาม” ได้โดยไม่ต้องพึ่งพิง “สิ่งอื่น” (พระเจ้า, อำนาจศักดิ์สิทธิ์)
5. เหตุผล เป็น สิ่งสากล (ทุกคน ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดหรือชนชั้น สถานะทางสังคมแบบไหน ก็สามารถมีได้เหมือนกัน)
6. เพราะฉะนั้น โดยหลักการ ทุกคนที่ “เท่ากัน” “เสมอกัน” ในสถานะความเป็นมนุษย์และศักดิ์ศรีความเป็นคน
ด้วยสถานะพิเศษเหล่านี้ ประชาชน ปวงชน หรือ พลเมือง จึงอยู่ในฐานะ ผู้ครอบครอง, เจ้าของอำนาจ, เป็นผู้มีสิทธิอันชอบธรรมทางการเมืองในตัวเองได้
และในทางตรงกันข้าม ถ้ามนุษย์ไม่ได้ดำรงอยู่ในสถานะพิเศษที่ว่ามานี้ เช่น ไร้เหตุผล ไร้ศีลธรรม โกหกหลอกลวงกัน ไร้อารยะ สภาพสังคมมนุษย์ก็จะไม่ต่างอะไรจาก “สภาพตามธรรมชาติดั้งเดิม” (State of Nature) หรือ สังคมดิบเถื่อนของสัตว์
นัยสำคัญตรงนี้ก็คือ ประชาธิปไตย หรือ การให้อำนาจปกครองเป็นของประชาชน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องผูกโยงหลักการประชาธิปไตยเข้ากับความชอบธรรมอื่นๆ เช่น มีเหตุมีผล มีศีลธรรม เป็นอารยชน
ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ผู้ที่ต้องการสังคมประชาธิปไตยและเรียกร้องประชาธิปไตยจะต้องยืนหยัดในหลักการเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด (เหมือนพระเอกที่ต้องเล่น “บทพระ“)
หรือ ในทางกลับกัน ต้องไม่ละเมิดหลักการที่สำคัญเหล่านี้
การโกหก คือการละเมิดหลักศีลธรรมของระบอบประชาธิปไตยที่เลวร้ายที่สุด เพราะ
1. ล่วงละเมิดต่อกฎสากล(ตามเหตุผล)ทางศีลธรรม
2. ละเมิดต่อคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
3. เห็นบุคคลอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อที่จะนำไปสู่เป้าหมายของตน
(ใครสนใจศึกษาเพิ่มเติมในหลักวิชาการ เรื่องนี้คือหลักจริยศาสตร์ตะวันตกแบบ Deontology ของนักปรัชญาเยอรมัน Kant ซึ่งจะไม่ขอลงรายละเอียดในที่นี้–เวทิน)
เรื่องนับองค์ประชุมยังกล้าโกหกซึ่งหน้านั้นเป็น “โกหกแรก” เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เรื่องที่พร่ำพูดว่า คนเท่าเทียมกัน จะไม่ใช่เรื่อง “โกหกซ้ำสอง“
ถ้าจำกันได้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร แห่งคณะ รสช.โกหกคนทั้งประเทศ “เสียสัตย์เพื่อชาติ” และผลที่ตามออกมาคือเหตุการณ์พฤษภา 2535
ตรงนี้แหละที่น่าสงสัยว่า ปิยบุตรกำลังทำลายหรือล้มล้างประชาธิปไตยอยู่หรือไม่?
แม้อาจมีความผิดตามข้อกฏหมาย หรือตามรัฐธรรมนูญเรื่องส่งเอกสารเท็จ แต่ความผิดที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การโกหกนั้นละเมิดหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยเลวร้ายพอๆกันหรือมากกว่า เผด็จการที่ทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญเสียด้วยซ้ำ
ประชาธิปไตยเคารพคุณค่าความเป็นคนเสมอเหมือนกัน
เผด็จการที่ดีๆ(ถ้ามี)ก็อาจเคารพคุณค่าความเป็นคนบ้าง
การโกหกคือการละเมิดคุณค่าความเป็นคนของผู้อื่นอย่างร้ายแรง
“เปลว สีเงิน” ไม่ผิดหรอกที่ถามว่า “ปิยบุตร ยังเป็น คน อยู่หรือไม่?”
“คน” ที่ถูกถามว่า “ยังเป็นคนอยู่หรือไม่?” ถูกจับได้ ถ้ายังกล้าพูดต่อสาธารณชนเรื่องประชาธิปไตย อำนาจประชาชน คนเท่าเทียมกัน ถ้าไม่เรียกว่ากำลัง “ล้มล้าง” (overthrown) หรือ “รื้อทิ้ง” (abolitionism) หรือ “ทำให้สูญสิ้น” (annihilationism) ไปซึ่งรากฐานหลักของประชาธิปไตย แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?