เปิ้ล หัทยา” ปล่อยโฮ เปิดใจความรู้สึกล่าสุด หลังสูญเสีย “ตั้ว ศรัณยู” เล่าความฝันเรื่องลูกที่สามีรอคอย

0

จากกรณีข่าวเศร้าสะเทือนใจวงการบันเทิง เมื่อต้องสูญเสียอดีตพระเอกชื่อดัง นักแสดง และผู้กำกับคนเก่ง สำหรับ “ตั้ว ศรัณยู” ที่เสียชีวิตในวัย 59 ปี ด้วยโรคมะเร็งตับ ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัว และเพื่อนร่วมวงการ ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง ภรรยา “เปิ้ล หัทยา” ก็ได้โพสต์ข้อความในอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมกับข้อความว่า “อยากให้เวลาเดินช้าช้า ขอเวลาสักหน่อย” ก่อนที่จะมีข่าวการเสียชีวิต

ต่อมา เปิ้ล หัทยา พร้อมลูกสาว ได้เดินทางมาอาคารพยาธิวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อติดต่อทำเอกสาร ขอรับศพไปประกอบพิธีทางศาสนา ก่อนเคลื่อนร่างไปยังวัดนาคปรก ซอยเทอดไทย 49 ภาษีเจริญ โดยทางตัวแทนครอบครัว ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชนงดการบันทึกภาพ หรือทำข่าวการรับศพไปยังวัด เนื่องจากทางคุณตั้ว ศรัณยูได้ขอร้องไว้ในวาระสุดท้ายว่าไม่ให้บันทึกภาพ เพราะอยากให้เก็บแต่ความทรงจำดี ๆ และหลังจากนี้ ในเวลาประมาณ 17.30 น. คุณหัทยา วงศ์กระจ่าง หรือ เปิ้ล ภรรยา จะให้สัมภาษณ์ที่วัดนาคปรกเป็นครั้งแรก และนี่ถือเป็นคำสั่งเสียสำคัญของ “ตั้ว ศรัณยู” ที่เคยขอร้องเอาไว้

 


อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : “เปิ้ล หัทยา” พร้อมลูกสาว รับศพ “ตั้ว ศรัณยู” บำเพ็ญกุศล เปิดเผยคำสั่งเสียก่อนสิ้นใจของสามี

ทั้งนี้ “เปิ้ล หัทยา” ภรรยาของอีตนักแสดงชื่อดัง ผู้ล่วงลับ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงช่วงเวลาแห่งความทรงจำกับสามี ก่อนจะต้องจากกัน พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาว่านับจากนี้ไปจะดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด

โดยเปิ้ลบอกว่า “ก่อนอื่นเปิ้ลอยากขอโทษทุกคนนะคะ ที่อาจจะไม่ได้อธิบายอะไรเลยในช่วงที่ผ่านมา เพราะตัวพี่ตั้วเองก็คิดว่าเขาอยากที่จะดูแลสุขภาพของตัวเองก่อน คือเขามองว่ามันเป็นแค่เรื่องสุขภาพก็เลยไม่ได้เปิดเผยหรือไม่ได้บอกใคร ซึ่งหลาย ๆ คนก็น่าจะทราบกันดีว่าก่อนหน้านี้พี่ตั้วเขาเคยมีอาการเจ็บหลัง และพอได้ทำการตรวจก็พบว่ามีกระดูกข้อที่ 3 บริเวณกระดูกสันหลังยุบลงไป คุณหมอก็เลยทำการตรวจอย่างละเอียดเพื่อดูว่ากระดูกที่ยุบลงมานั้นมันมีสาเหตุมาจากอะไร

เรารับรู้กันมาตั้งแต่แรกนะคะ แต่ด้วยความที่พี่ตั้วเนอะ เขาก็รู้สึกว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงทั้งๆ ที่เขาดูแลสุขภาพอย่างดีมาโดยตลอด ตรวจเช็กร่างกายสม่ำเสมอ แต่สุดท้ายแล้วเชื้อมันก็ลามมาที่กระดูก จากกระดูกข้อที่ 3 ก็ลุกลามขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงสะบัก ซึ่งเขาก็รักษาตัวมาเรื่อยๆ ค่ะ”

มีช่วงนึงอาการเขาดีขึ้น ยังกลับไปกองถ่ายได้ แต่สุดท้ายอาการของเขาก็เริ่มทรุด เริ่มเจ็บสะบัก เจ็บเอว บวกกับมันเป็นจังหวะที่ทุกคนต้องเจอกับ โควิด-19 พอดี เราก็เลยไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร และก็อยากให้ทุกคนหันไปโฟกัสดูแลตัวเองกันดีกว่า ขนาดเพื่อนฝูงที่เจอกันเราก็ไม่ได้บอก ถึงแม้จะมีคนทักว่าทำไมพี่ตั้วดูผอมลง แต่พี่ตั้วก็ไม่ได้พูดหรือเล่าเรื่องนี้กับใคร เพราะเขามองว่าทุกคนต่างก็เจอภาวะความเครียดกันอยู่แล้ว ดังนั้นพอมันเป็นเรื่องสุขภาพของเขา เขาก็แค่อยากดูแลตัวเองดีกว่า

 

 

 

เมื่อถามว่าพี่ตั้วได้สั่งเสียหรือพูดอะไรไว้บ้างไหมก่อนที่เขาจะไป ?

เปิ้ลก็บอกว่า ก็มีนะคะคือเราคุยกันอยู่เรื่อย ๆ อย่างเช่นก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลเราก็คุยกันอยู่ ทั้งเรื่องของละคร เรื่องของทีมงาน การทำงานไหวหรือเปล่า คือเขาจะเป็นคนที่ห่วงเรื่องงานเยอะมาก โดยเฉพาะงานที่เป็นงานของเขา ขนาดเราเสนอไปว่าจะหาใครมาช่วยเขากำกับ เขาก็บอกว่าไม่ได้ เพราะมันคืองานที่เขากำกับมาตั้งแต่แรกเขาต้องทำให้จบ

นอกจากเรื่องงานแล้วก็ยังมีเรื่องของลูกสาว น้องหนุน กับ น้องหนัง หนุนเรียนจบแล้วใช่ไหม หนุนวางแผนชีวิตอย่างไร หนังวางแผนชีวิตอย่างไร เปิ้ลต้องทำความฝันที่คิดไว้ให้เป็นความจริงนะ เปิ้ลอย่าท้อนะ คือเขาก็จะพูดไปเรื่อย เราคุยกันเกือบทุกวัน แม้แต่ตอนที่อยู่โรงพยาบาลเราก็ยังคุยกันอยู่เลยว่า เราจะต้องทำสิ่งที่เราอยากทำให้เป็นความจริงให้ได้ ถึงแม้ว่าจะลำบากก็อย่าท้อ

 

 

ส่วนเรื่องลูกสาวตอนนี้ตั้งใจว่าอย่างไรบ้าง ?

นอกจากนี้เปิ้ล ยังเล่าทิ้งท้ายถึงความฝันของพี่ตั้วด้วยว่า อย่างที่ทราบตอนนี้น้องหนุนเรียนจบแล้ว แต่ด้วยความที่ช่วงนี้มันเป็นช่วงของ โควิด-19 ก็เลยอาจจะมีเรื่องของการเลื่อนโปรเจกต์จบนิด ๆ หน่อย ๆ เพราะตอนแรกเหมือนเขาจะต้องทำละครเวที 1 เรื่อง โดยมีคุณพ่อเขาเป็นคนช่วยแนะนำ แต่พอมันเกิด โควิด-19 ขึ้น หนุนเขาก็เลยต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนใหม่หมด ซึ่งพี่ตั้วเขาก็พูดว่า “เขาจะต้องไปงานรับปริญญาลูกให้ได้ “ ส่วนน้องหนัง เอ่อ…เป็นช่วงที่เขากลับมาจากเกาหลีพอดี เขาก็เลยได้มีโอกาสอยู่ดูแลคุณพ่อค่ะ

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลังจากนี้ครอบครัวจะขาดคุณพ่อ และไม่ได้ทำความฝันร่วมกับลูกสาวทั้งสองแล้ว คงเหลือแต่คุณแม่ที่จะได้อยู่ในงานรับปริญญาลูก ซึ่งเปิ้ล ก็ยืนยันว่า วันนี้ไม่มีพี่ตั้วแล้ว ตัวเองก็พร้อมนะกับการทำงานหนัก พี่พร้อมที่จะลุยงาน แต่เรื่องของสภาวะจิตใจแน่นอนว่า มันก็ต้องมีบ้างที่เรารู้สึกถามตัวเองว่า ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริงเหรอ มันมีแว่บ ๆ เข้ามาบ้างเหมือนกัน