ไฟป่าออสเตรเลีย ภัยแล้งไทย ยับยั้งแบนสารพิษ จนถึงฆ่าสุไลมานี ธาตุแท้ของระบอบทุนนิยมครองโลก (2)
โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
ระบอบทุนนิยมครองโลก นอกจากแย่งชิงและเข่นฆ่าแล้ว อีกด้านหนึ่งระบอบทุนนิยมโลกมาในคราบของเทพบุตรผู้ห่วงหาอาทร นั่นคือ การดูแลเรื่องสุขภาพและอาหารการกินของมนุษย์โลก
หลอกลวง ครอบงำ
อาหารการกิน
เรื่องอ่อนไหวทางสุขภาพที่สุดตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาคือ เรื่องคอเลสเตอรอลกับโรคหัวใจ
ปีค.ศ.1950 เป็นปีก่อกระแสว่าด้วยความเชื่อที่ว่า ไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลจากเนื้อสัตว์เป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือดของคนเรา มันทำให้เกิดการพอกจับคอเลสเตอรอลและคราบไขในผนังหลอดเลือด นั่นนำมาซึ่งการตายด้วยโรคหัวใจในที่สุด นี่คือ “ทฤษฎีไขมัน” ที่เผยแพร่ทั่วโลก และอุตสาหกรรมอาหารเพื่อต่ออายุ ก็จ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อส่งเสริมทฤษฎีนี้
ในขณะเดียวกันจะเห็นได้ว่า การรณรงค์ทางสุขภาพเพื่อลดโรคหัวใจให้กับผู้คนโดยทั่วไป แต่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้เกี่ยวข้องกลับไม่ได้รับการเหลียวแลเลย ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่ ลดความเครียด ออกกำลังกาย แต่สิ่งที่ได้ผลประโยชน์ตอบแทนที่มากกว่า เช่นการรณรงค์ให้คนอเมริกันกินไขมันอิ่มตัวให้น้อยที่สุดแล้วจะอายุยืนยาว ก็ล้วนได้รับการทุ่มเทส่งเสริมกันอย่างจริงจัง
ตั้งแต่ปีค.ศ.1957 อุตสาหกรรมอาหารในอเมริกเปิดกระแสการรณรงค์ให้คนเชื่อเรื่องสุขภาพดีด้วยการกินไขมันแต่น้อย และให้กินน้ำมันพืช น้ำมันพืชบางยี่ห้อในสหรัฐฯเปิดตัวด้วยการระบุว่า “ปรุงอาหารด้วยน้ำมันพืชกันเถอะ เพื่อเห็นแก่หัวใจอันเป็นที่รักของคุณ” และวารสารสมาคมแพทย์อเมริกาก็เปิดรับโฆษณาจากบริษัทน้ำมันพืชที่ชี้ชัดลงไปว่า “เป็นสารลดคอเลสเตอรอล”
น้ำมันข้าวโพดมาโซล่า(Mazola) ออกมารับประกันกับผู้คนทั่วทั้งสังคมว่า “วิทยาศาสตร์พบแล้วว่าน้ำมันข้าวโพดสำคัญกับสุขภาพของคุณ” วารสารการแพทย์เปิดรับโฆษณาจากน้ำมันพืชแข็งตัว(มาร์การีน)ชนิดไม่ใส่เกลือว่าเหมาะกับผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูง นพ.เฟเดอริก สแตร์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาการมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดออกหน้ามาเขียนบทความส่งเสริมให้ผู้คนบริโภคน้ำมันข้าวโพดวันละ 1 ถ้วยในบทความของสมาคมฯ งานเขียนของเขาอีกชิ้นหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการขายน้ำมันพืชสกัดของบริษัทพล็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล เขาได้ยกเอางานวิจัย 2 ชิ้นและงานวิจัยทางคลินิก 1 ชิ้นที่แสดงว่าการมีคอเลสเตอรอลสูงสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด เรื่องนี้เป็นที่อนุมานกันว่าเขาได้รับเงินไม่น้อยจากผลงานชิ้นนี้ของเขา
นพ.แอนโทนีโอ กอตโต จูเนียร์ อดีตนายกสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาก็ได้ร่อนจดหมายถึงแพทย์ที่ทำเวชปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการขายให้น้ำมันพืชสกัดโดยตรงเลย จดหมายของท่านอดีตนายกฯฉบับดังกล่าวพิมพ์บนกระดาษหัวจดหมายของศูนย์โรคหัวใจเดอ เบคีย์ คณะแพทยศาสตร์เบเลอร์ (the De Bakey Heart Center, Baylor College of Medicine) อย่างโจ๋งครึ่ม
คุณรู้หรือไม่ว่า ในอเมริกามีการให้ดวงตรา “ปลอดโรคหัวใจ” แก่ผลิตภัณฑ์อาหารชนิดต่างๆ ดวงตราเหล่านั้นเขาไม่ได้ให้กันฟรีๆหรอกนะ บริษัทผู้ผลิตอาหารแต่ละชนิดจะต้องจ่ายเงินในปีแรก 7,500 เหรียญสหรัฐฯต่อผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ แล้วในปีต่อไปก็ให้ค่าต่ออายุดวงตราอีกปีละ 4,500 เหรียญสหรัฐฯ เบื้องหลังดวงตราเหล่านั้น มันเป็นกองเงินกองทองของสมาคมโรคหัวใจฯเลยทีเดียวแหละ คิดดูซิว่าดวงตรานับร้อยๆดวงที่ติดอยู่บนสินค้าในห้างต่างๆ ล้วนบอกความนัยว่า “ปลอดโรคหัวใจนะ” ให้กับผู้ซื้อ ผลพวงที่เกิดขึ้นตามหลัง แน่นอนว่าผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อซื้อสินค้า “ปลอดโรคหัวใจนะ” เหล่านั้น เพียงเพื่อคุณจะได้ เต้นตาม สมาคมโรคหัวใจฯเท่านั้นเอง”
จึงมีคนถามว่า “คิดดูก็แล้วกันว่า น้ำองุ่นของไพรซีย์ ทร็อปปิคาน่า (Pricey Tropicana) เมื่อติดดวงตราดังกล่าว ก็แปลว่าเจ้าน้ำองุ่นกล่องนี้ ดีกับหัวใจ ขณะที่น้ำองุ่นยี่ห้ออื่นที่วางอยู่ข้างๆ ไม่ได้ติดตรา ก็แปลว่า ไม่ดีต่อหัวใจ อย่างนั้นหรือ?”
ยา
ระบอบทุนนิยมโลกดูแลสุขภาพด้วยใช้ยาเป็นสรณะ บริษัทยาคือผู้แทนจำหน่ายสุขภาพที่ดีให้กับประชาคมโลก เมื่อโลกก้าวสู่ศตวรรษที่ 20 ภาวะ “กินอยู่ล้นเกิน” ทำให้เกิดกลุ่มโรคการเผาผลาญ (metabolic disease) ได้แก่ภาวะไขมันเลือดสูง อ้วน เบาหวาน ความดันเลือดสูง และโรคหัวใจ โรคเหล่านี้ทำให้ยาลดไขมันเลือดกลายเป็นยาที่ขายดีที่สุดในโลก เบื้องลึกของการทำตลาดให้กับยาลดไขมันมีดังนี้
เริ่มจากนายเฮนรี แกดสเดนซึ่งเป็นประธานบริษัทเมอร์ค ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยา เขาเป็นหนึ่งในยี่สิบของนักธุรกิจอเมริกันที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจของตน สินค้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเขาคือ ยาลดไขมันเลือด แรงบันดาลใจของเขาเผยไว้ในคำสัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนที่ว่า “บริษัทยาถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วยเท่านั้น แท้จริงแล้วบริษัทเมอร์คควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง คือผลิตยาขายให้กับคนสุขภาพดี ให้บริษัทสามารถ ขายยาให้แก่ทุกๆคน” จากนั้นมาความฝันของแกดสเดนก็กลายเป็นความจริง และยาลดคอออเลสเตอรอลก็หอกเล่มแรกที่บุกทะลวงตลาดของสุขภาพคนดีให้กระจุยกระจาย
อุบายของการเพิ่มยอดขายอยู่ที่การกำหนดตัวเลขมาตรฐานของการมี “คอเลสเตอรอลสูง” เดิมทีเดียวค่าคอเลสเตอรอลปกติอยู่ที่ 250 มก.% แต่ด้วย “อุบาย” บางอย่างของเฮนรี แกดสเดนที่กระทำอย่างลับๆกับคณะผู้เชี่ยวชาญ(ด้านการใช้ยา)ในสหรัฐฯ คณะกรรมการชุดนี้ก็ประชุมเมื่อต้นปีค.ศ.2001 ค่าปกติของคอเลสเตอรอลก็ถูกกำหนดใหม่ไว้ที่ 200 มก% ผลก็คือหลังการประชุม ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคนในปีค.ศ.1990 ก็เพิ่มกลุ่มประชากรที่ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคนภายในชั่วข้ามคืนเดียว เพราะผลจากการกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดยคณะผู้เชี่ยวชาญฯ แล้วพลเมืองทั่วโลกอีกนับสิบๆล้านก็กินยาสแตตินตาม
ความจริงมีอยู่ว่าว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คนที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงินกับผู้ผลิตสแตติน หลังปี 2001 มีผู้เชี่ยวชาญอีกคณะหนึ่งประการหลักเกณฑ์ให้หนักหนากว่าเดิม บอกว่าจะช่วยให้คนอเมริกัน 40 ล้านคนอาจได้ประโยชน์ถ้ากินยานี้ ทำให้มีลีลาชีวิตที่ดีกว่าเดิม
8 ใน 9 ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยายักษ์ใหญ่ มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ คุณจะหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือชื่อ “อุบายขายโรค” สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ถูกจับให้กินยาลดไขมัน คุณคงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคคอเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน 250 มก./ดล. แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า “มีงานวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอลที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 มก./ดล.เพราะคนที่ระดับโคเลสเตอรอลระหว่าง 200-250 มก./ดล.ก็มีสิทธิ์ตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ ถ้าปุบปับคนไข้ดีๆของผมเกิดหัวใจวายขึ้นมา หรืออัมพาต หมอก็คงไม่สบายใจ เห็นจะจำเป็นจ่ายยาลดโคเลสเตอรอลให้คุณละนะ” ไหนๆคุณเป็นคนมีสตางค์แล้ว ก็ช่วยๆกินยาลดคอเลสเตอรอลไปเรื่อยๆก็แล้วกัน จะมัวเสียดายสตางค์ค่ายาอะไรหนักหนา”
พอคุณหันไปทางภรรยา เธอก็บอกคุณว่า “จริงซินะ…ปะป๊า เดี๋ยวเกิดเป็นอัมพาตขึ้นมา คุณก็ได้แต่นอนตาปริบๆ เงินที่หามาได้ถูกลูกชายมันเอาไปเที่ยวผับซะหมด ยิ่งผับสมัยนี้อันตรายอยู่ด้วย ไหนๆเรามีสตางค์แล้ว ก็ช่วยๆกินยาลดคอเลสเตอรอลไปเรื่อยๆก็แล้วกันน่าอย่างคุณหมอ เราจะมัวเสียดายสตางค์ค่ายาอะไรหนักหนา”
ครั้นเมื่อมีระบบประกันสุขภาพขึ้นมา ยาลดไขมันก็ถูกผลักดันให้จ่ายกันไม่อั้นแก่คนที่ถูกตรวจว่าไขมันเลือดสูง ตั้งแต่ 200 มก./ดล.ขึ้นไป ทั้งหมอและคนไข้ต่างก็รับไปอย่างง่ายดาย เพราะต่างคิดกันว่า “เป็นเงินของหลวง คนไข้ไม่ต้องออกสตางค์เอง”
จากผลพวงของการเปลี่ยนค่าปกติของคอเลสเตอรอล ปีค.ศ.2004 โครงการให้การศึกษาระดับชาติเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล (National Cholesterol Education Program (NCEP)) ได้ประกาศแนวทางการดูแลสุขภาพว่าด้วยคอเลสเตอรอลฉบับใหม่ โดยเร่งเร้าว่าการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลควรเริ่มแต่เนิ่นๆตั้งแต่อายุ 20 ปีเป็นต้นไป และระดับคอเลสเตอรอลที่ยอมรับได้ก็ต้องปรับให้ต่ำลงไปอีกทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ทั้งนี้โดยไม่ต้องสนใจว่าคนผู้นั้นจะได้รับการวินิจฉัยหรือยังว่าเป็นโรคหัวใจที่แน่ชัด (ดังเช่นที่คนไทยทั่วไปขณะนี้ถูกกระตุ้นให้ตื่นกลัวระดับคอเลสเตอรอล และต้องถูกยัดเยียดให้กินยาลดไขมันทันที และกินไปตลอดชีวิต ทั้งๆแต่ละคนก็ไม่ได้เป็นโรคหัวใจแม้แต่นิดเดียว) บอกได้เลยว่าแพทย์ 8 ใน 9 คนที่นั่งอยู่เป็นกรรมการในโครงการ NCEP ดังกล่าวล้วนแต่มีความผูกพันทางผลประโยชน์กับบริษัทผู้ผลิตผู้ขายยาสแตตินในรูปใดรูปหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เปิดเผยหรอกเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนในกรณีดังกล่าว และแล้วสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา และวิทยาลัยหทัยวิทยาอเมริกัน(American College of Cardiology) ก็ประกาศรับรองประกาศฯดังกล่าว
ติดตามตอนต่อไป อย่ากระพริบตา
#ไฟป่าออสเตรเลีย #ภัยแล้ง #แบนสารพิษ #โซไลมานี #ทุนนิยม #คอเลสเตอรอล #โรคหัวใจ #ยาลดไขมัน #อุบายขายโรค