จากกรณีตำรวจเมืองมินเนแอโปลิส ใช้เข่ากดคอ จอร์จ ฟลอยด์ ผู้ต้องสงสัยชาวผิวสีวัย 46 ปี จนเสียชีวิตซึ่งในคลิปเหตุการณ์แสดงให้เห็นว่า จอร์จ ฟลอยด์ส่งเสียงร้องและพูดกับตำรวจผิวขาวว่า หายใจไม่ออก จนเกิดกระแสต่อต้าน
ทั้งนี้เพราะการกระทำดังกล่าวรุนแรงเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ และเป็นประเด็นเรื่องการเหยียดสีผิว จนเป็นชนวนเหตุบานปลาย มีการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงเป็นจำนวนมาก และลุกลามไปมากกว่า 20 รัฐ และกว่า 40 เมืองทั่วประเทศ
ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศไว้ว่า ได้เกิดการจลาจล ปล้น ชิง และทำลายทรัพย์สิน ทำลายสถานที่ต่างๆ เช่น ในกรุงวอชิงตัน เกิดเหตุการณ์อย่างป่าเถื่อน ซึ่งเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นความอัปยศโดยสิ้นเชิง ขอให้ผู้ว่าการรัฐต่างๆ ใช้กำลังควบคุมสถานการณ์โดยเร็ว
หากเมืองหรือรัฐใดไม่ดำเนินการมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวเมือง ตนจะส่งทหารรัฐบาลกลาง เข้าไปแก้ปัญหาแทน โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายการก่อจลาจล ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีส่งทหารไปปราบปรามการก่อความไม่สงบของพลเมือง และขอประณามการก่อเหตุร้ายในประเทศ
ล่าสุดวันนี้(4มิ.ย.63) นายจอม เพชรประดับ อดีตผู้สื่อข่าว และเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพถึงเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงไว้หลายช่วงหลายข้อความด้วยกันว่า
แอลเอ.กำลังสับสนอลหม่าน
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ Van Nuys ในแอลเอ เมื่อเจ้าของร้านเครื่องดื่มปิดร้านและคอยปกป้องร้านตัวเองด้วยอาวุธของเขาเอง เวลาเดียวกันก็มี คนผิวดำกลุ่มหนึ่งที่ขับรถมาจอดทำทีเหมือนจะเข้ามาที่ร้านทองซึ่งปิดอยู่ แต่ถูกเจ้าของร้านเครื่องดื่มเห็นเข้าจึงบอกว่า ร้านปิดอย่าเข้าไป
และเมื่อตำรวจมาถึง พวกคนผิวดำที่จะเข้าไปยังร้านทองก็พากันขับรถหนี แต่ตำรวจกลับจับกุมเจ้าของร้านเครื่องดื่มเพราะเห็นว่ามีอาวุธ…. แม่งสับสน ดูการทำงานของตำรวจแอลเอตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสน อลหม่าน ไม่รู้ใครเป็นใครแล้วจริง ๆ ตอนนี้ ตำรวจก็ ช่วยเหลือ ป้องกันอันตรายเกือบไม่ได้เอาเลยจริงๆ
กฎหมายอเมริกา ให้สิทธิ์กับพลเมืองในการใช้อาวุธ เพื่อรักษาและปกป้องทรัพย์สิน และตัวเองหากอยู่ในภาวะที่ไม่ปลอดภัย นี่เป็นบัญญัติในรัฐธรรมนูญอเมริกา แรกทีเดียวคิดว่า เมื่อ 400 ปีที่เริ่มก่อตั้งประเทศคงยังเป็นสังคมดิบ ป่าเถื่อนยุคบุกเบิก เข้าใจได้ว่าจำเป็นต้องมีกฎหมายแบบนี้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่า 400 ปีต่อมากฎหมายข้อนี้ถูกปฎิบัติอย่างจริงจังอีกครั้ง
ไม่คิด ไม่ฝันมาก่อนว่า วันหนึ่งต้องมาฝึกฝนการยิงปืนเพื่อการอยู่รอดในสังคมอเมริกาในเวลาที่มืดมนแบบนี้
ที่มา : เฟซบุ๊ก Jom Petchpradab