เปิดไทม์ไลน์ไม่อุทธรณ์คดีโอ๊ค!ชี้ขาด24พ.ค.แต่ไปยื่นศาลขอขยาย25พ.ค.-อสส.ไปราชการตจว.

0

จากที่วานนี้(28พ.ค.63) อัยการสูงสุดมีคำสั่งชี้ขาดไม่ยื่นอุทธรณ์คดีหมายเลขดำที่ อท.245/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่น ฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นายพานทองแท้ ถูกตั้งข้อกล่าวหาคดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย จำนวน 10 ล้านบาท ในความความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 , 9 , 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91

ขณะที่มีรายงานว่าคำสั่งชี้ขาดดังกล่าวลงนามโดยรองอัยการสูงสุดคนหนึ่ง ซึ่งปฏิบัติราชการเเทนอัยการสูงสุด โดยเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมาอัยการสำนักงานคดีพิเศษ4 ได้ยื่นขอขยายอุทธรณ์ครั้งที่ 6 โดยศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 25 มิ.ย. เเต่เมื่อมีการชี้ขาดอัยการสูงสุดสั่งไม่อุทธรณ์ คดีดังกล่าวถือเป็นอันสิ้นสุด

สำหรับคดีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯกลาง มีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 25 พ.ย.62 ซึ่งต่อมาทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้ทำความเห็นส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีศาลสูง ว่าเห็นควรไม่อุทธรณ์คดีต่อ ซึ่งอัยการสำนักงานคดีศาลสูงเห็นด้วย ตามกฎหมายจึงต้องส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พิจารณาตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่

ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณากลั่นกรองเรื่องดังกล่าว เพื่อเสนอความเห็นต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ความเห็นของพนักงานอัยการ และคำพิพากษาของศาลที่พิพากษายกฟ้อง และที่ทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษา ประกอบกับความเห็นของพนักงานอัยการที่เห็นควรไม่อุทธรณ์คำพิพากษาแล้ว  เห็นว่ายังมีประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ควรต้องนำสู่การพิจารณาของศาลสูงเพื่อวินิจฉัย อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีความเห็นควรให้นำคดีขึ้นสู่ศาลสูงโดยส่งให้อัยการสูงสุดชี้ขาดเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา

ล่าวันนี้ (29 พ.ค. 63) ที่สำนักงานคดีอาญา 3 นายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เเถลงถึงกรณีที่อัยการสูงสุด มีคำสั่งชี้ขาดไม่ยื่นอุทธรณ์คดีฟ้อง นายพานทองแท้ ว่า คดีดังกล่าว นายเนตร นาคสุขรองอัยการสูงสุด อาวุโสลำดับ 1 รักษาราชการเเทนนาย วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ซึ่งขณะนั้นเดินทางไปราชการในพื้นที่ภาค 7

“โดย มีคำสั่งชี้ขาดไม่อุทธรณ์คดี สำนวนดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาจากอธิบดีอัยการสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาความเห็นเเย้ง ได้ทำความเห็นว่าควรไม่อุทธรณ์คดีดังกล่าว ส่งมายังอัยการสูงสุด โดยมีนายเนตร ซึ่งรักษาราชการเเทนดังกล่าว พิจารณาเเล้วมีความเห็นควรไม่อุทธรณ์คดีตามที่สำนักงานชี้ขาดคดีทำความเห็นส่งมาจึงมีความเห็นชี้ขาดไม่อุทธรณ์คดีดังกล่าวต่อศาลสูง

มีการชี้ขาดเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนที่มีการยื่นขยายอุทธรณ์ไปยังศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.เเล้วศาลอนุญาตขยายไปวันที่ 25 มิ.ย.นั้นเนื่องจากขณะนั้นทางสำนักงานคดีพิเศษ 4 ยังไม่ทราบคำสั่งชี้ขาดอัยการสูงสุดจึงได้ยื่นอุทธรณ์ไปตามระเบียบ หลังจากนี้ถือว่าคดีดังกล่าวสิ้นสุด ส่วนรายละเอียดเหตุผลในการสั่งคดีดังกล่าว ทางนายวงศ์สกุล อัยการสูงสุดได้สั่งการให้อัยการที่เกี่ยวข้องรายงานเพื่อชี้เเจงต่อไป” รองโฆษกอัยการฯ กล่าว

อย่างไรก็ตามคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์นั้น ได้ระบุเหตุผลว่าเนื่องจากคดีนี้อัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลสูงได้พิจารณาสั่งสำนวนแล้วโจทก์ได้เสนอสำนวนต่อไปยังอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกเพื่อพิจารณาต่อมาดีเอสไอได้มีความเห็นแย้งจึงส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุด เพื่อชี้ขาดตามขั้นตอนของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา145

เพื่อมีคำสั่งในชั้นอุทธรณ์ต่อไปสำนวนอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุดโจทก์ จึงไม่สามารถดำเนินการในชั้นอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จได้ทันภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ต่อมาศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่25 มิ.ย.นี้

สำหรับคดีนี้ในศาลชั้นต้นองค์คณะผู้พิพากษา 2 คนมีความเห็นต่างกันในการตัดสินโดยหนึ่งในองค์คณะ มีความเห็นแย้งว่าพฤติการณ์ที่มีเช็คเงินลงชื่อนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารเครือกฤษดามหานครโอนเข้าบัญชีนายพานทองแท้ เป็นความผิดเห็นควรให้ลงโทษจำคุกนายพานทองแท้4 ปีซึ่งมีการบันทึกไว้เป็นความเห็นแย้งท้ายคำพิพากษาด้วยโดยหากคู่ความยื่นอุทธรณ์ความเห็นแย้งนี้ในสำนวนก็จะขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ทราบด้วย