วันก่อนประกาศหลั่งเลือด!!! วันนี้บอกไม่คุ้ม!?! เพราะเลือดที่หลั่งเป็นเลือดใคร???

0

ไม่รู้จะด้วยเหตุผลใดที่ธนาธรบอกการลงถนนหากต้องเสียเลือดคงไม่คุ้ม??? จะด้วยเสียงทักเสียงเตือนที่ดังออกมาจากสารทิศ หรือเพราะกลัวจะรับผิดชอบไม่ไหว กลัวว่าหากเลือดที่ประกาศหลั่งเป็นเลือดของญาติพี่น้องตัวเองหรือไม่??? หรือเป็นแผนลับลวงพรางเพราะถึงอย่างไรธนาธรก็จะนำคนลงถนน???

14 ธ.ค.62 ธนาธรกล่าวว่า “การแก้รัฐธรรมนูญ ผมมองว่ามี 2 ทาง คือ แก้ด้วยเลือด หรือ แก้ด้วยการยินยอมพร้อมใจจากทุกฝ่าย”

ต่อมา สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม กล่าวในรายการ “Thai Move Talk” ช่องสถาบันทิศทางไทย โดยตั้งในหัวข้อเป็นคำถาม!! ถามว่า เลือดที่อยากหลั่งถ้าเป็นเลือดของ แม่ ภรรยา หรือลูก ของธนาธรยอมได้หรือไม่

ธนาธร “พร้อมที่จะตายเป็นคนแรกหรือไม่ พร้อมที่จะหลั่งเลือดเป็นคนแรกหรือไม่ หรือถ้าเลือดที่ประกาศจะหลั่ง เป็นเลือดของแม่คุณ

ของภรรยาคุณ  ของลูกคุณ …คุณจะรู้สึกอย่างไร? คุณมีความรู้สึกที่พร้อมจะให้บุคคลอันเป็นที่รักของคุณหลั่งเลือดเพื่ออุดมการณ์แก้รัฐธรรมนูญของคุณด้วยใช่หรือไม่” นี่คือคำถาม-เสียงจากสนธิญาณ

ถัดมาก็เป็น สนธิ ลิ้มทองกุล  ที่กล่าวว่า ไม่เพียงนรกรออยู่ข้างหน้าหากธนาธรคิดจะปลุกม็อบลงถนน

ให้ดูตัวอย่างตนเองในการชุมนุมของพันธมิตรฯ และการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่าง นปช.ทั้งจตุพรและณัฐวุฒิ ต้องเจอกับอะไรบ้าง

ก่อนที่จตุพร พรหมพันธุ์ เชื่อว่าธนาธรจะเดินหน้านำมวลชนลงถนน อยู่ในสภาพขี่หลังเสือ แต่ต้องเตรียมตัวให้ดีเพราะหลังจากนี้มวลชนจะล้ำหน้าแกนนำไม่ยอมชุมนุมแค่ 1 ชั่วโมง แล้วกลับบ้านแต่จะปักหลัก

ทั้งเป็นหน้าที่แกนนำต้องรักษาชีวิตมวลชน ส่วนตัวคิดว่าขบวนการของธนาธร มีจุดจบไม่ต่างจากนปช.คือประชาชนบาดเจ็บ ล้มตาย และแกนนำติดคุก!!!

นั่นคือเสียงเตือนที่ธนาธรควรรับฟัง เพราะไม่ว่าฟังจากมุมไหน ล้วนช่วยเตือนสติของคนที่คิดจะนำคนลงถนนทั้งสิ้น!!!

25 ธ.ค.62  ธนาธร พูดกล่าวตอนหนึ่งว่า  “ มีคนพูดกับผมเยอะมาก ว่าเมื่อไรจะเอาคนลงถนนแล้วพวกเขาจะยอมสนับสนุนเต็มที่ แต่อยากบอกว่า การนำคนลงถนนมันไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ

แต่เราต้องส่งเสียงและชุมนุมอย่างสันติ เดินคู่กับการทำงานในสภาอย่างเต็มที่ ทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมาและสร้างสรรค์ หากประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงทุกคนต้องสู้เพื่ออนาคตของตัวเราเองและลูกหลาน และหลายคนคงเห็นว่าพรรคอนาคตใหม่ถูกเล่นงานมากขนาดไหน ดังนั้นจึงต้องอาศัยพลังของทุกคนลุกขึ้นสู้” นายธนาธร กล่าว

หากถามว่าจะเชื่อถือคำพูดธนาธรได้มากน้อยแค่ไหน เพราะวันที่ 14 ธ.ค.62 ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักการเมืองรุ่นใหม่อย่างธนาธรจะพร่ำเพรียกแต่เรื่องนองเลือด

26 ต.ค.2561 ที่หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ธนาธร บรรยาย “การเมืองไทยหลังการคลายล็อกทางการเมือง” โดยช่วงหนึ่งพูดว่า

“ไม่ว่าความเป็นไปได้จะไปทางไหน มีโอกาสสูงที่ประเทศจะกลับสู่ความวุ่นวายหลังเลือกตั้ง หากฝ่ายประชาธิปไตยชนะ อาจเกิดรัฐประหารอีก และประชาชนอาจทนไม่ไหว ลงสู่การเมืองบนท้องถนน

หรือหาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯต่อผ่านกลไกที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ คนก็อาจลุกฮือ เพราะหมดความอดทนเช่นกัน นำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกและนองเลือดอีกครั้ง กลับสู่วังวนเดียวกับทศวรรษที่ผ่านมา”

30 ก.ย. 2562 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ธนาธร ร่วมเวทีสาธารณะ 30 องค์กรประชาธิปไตย (ครั้งที่ 2) หัวข้อ “การปฏิรูปสังคม – เศรษฐกิจ – การเมืองไทย กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” โดยมีเนื้อหาบางช่วงกล่าวว่า

“การแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางออกทางเดียวสำหรับประเทศไทย เพราะหากไม่ทำ รัฐธรรมนูญที่เหมือนระเบิดเวลา ถ้าไม่รีบถอดสลัก เมื่อถึงวันระเบิดจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

วาทกรรมที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามดิสเครดิตเราเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ หลักๆแล้วจะมีอยู่ 2 ข้อ1.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องหลักการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องรอง และ 2.การแก้รัฐธรรมนูญและการนำมาซึ่งความรุนแรง

5 ต.ค. 2562 ธนาธร ได้รับเชิญเข้าร่วมงาน Open Future Forum ที่จัดขึ้นโดยนิตยสารดิอีโคโนมิสต์ที่เกาะฮ่องกงโดย ช่วงหนึ่งของการเสวนา มิแรนดา จอห์นสัน ได้ถามความเห็นของนายธนาธรเกี่ยวกับสถานการณ์ในฮ่องกง

มิแรนดา : ขอคำถามสุดท้ายแบบเร็วๆไปที่คุณธนาธร คุณเคยบอกว่าเคยใช้เวลาที่ฮ่องกง เคยเรียนที่นี่ ฉันสงสัยว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในฮ่องกง

ธนาธร : จริงๆ แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในฮ่องกงนั้นสร้างแรงบันดาลให้กับเรา ขอผมพาคุณย้อนกลับไปในปี 2561 ตอนที่เรากำลังจะตัดสินใจว่าเราจะจัดตั้งพรรคการเมือง จริงๆ ตอนนั้นมีสองทางเลือกให้เราว่าเราควรจะสร้างการเคลื่อนไหวหรือการตั้งพรรคการเมือง

คุณรู้ไหมว่ามันมีการถกเถียงกันครั้งใหญ่ภายในหมู่สมาชิกผู้ก่อตั้งพรรค (อนาคตใหม่) ว่าเราควรจะจัดตั้งการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือเราจะตั้งพรรคการเมืองดี และสุดท้ายเราก็ตัดสินใจตั้งพรรคการเมือง เพราะบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมในปี 2553 ยังคงเป็นบาดแผลสดอยู่

โดยในปี 2553 การเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม (เสื้อแดง) ของทางทหารทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงมากกว่า 100 คน และมีมากกว่า 1,000 คนที่ได้รับบาดเจ็บ และเรารู้ดีว่าพวกเขา (ทหาร) พร้อมที่จะทำทุกอย่างกับอำนาจที่เขามีในการรักษาสถานภาพเอาไว้

ดังนั้นเราเลยรู้สึกว่ามวลชนยังไม่พร้อมที่จะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ ความกลัวยังอยู่ในใจและความนึกคิดของผู้คน ดังนั้นเราเลยสรุปกันว่าถ้าเราดำเนินการเคลื่อนไหวไม่ได้ ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการตั้งพรรคการเมือง ดังนั้นผมจึงคิดว่าในทางหนึ่งฮ่องกงก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา”

นั่นคือการประกาศมาตลอดของธนาธรในการที่จะเกิดความรุนแรง นองเลือด จนกระทั่งมาถึงการที่บอกว่า ไม่คุ้มค่าที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ!!! คำถามก็คือ คำว่าไม่คุ้มค่า นั่นหมายถึง หากเป็นเลือดเนื้อของคนที่ธนาธรรักใช่หรือไม่???

 

#ปอกเปลือก#ปอกให้เห็นความจริง