หลวงพ่อสุดใจละสังขาร​ ไม่ใช่โศกนาฏกรรม ท่านแสดงให้เห็นธรรมว่านิพพานมีจริง​

0

ขอน้อมกราบถวายความอาลัย หลวงพ่อสุดใจทันตมโนเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาดสู่แดนพระนิพพาน 

หลวงพ่อสุดใจทันตมโนเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาดละสังขารเมื่อศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 เวลา 14.10 น​. ด้วยเหตุอัคคีภัย ณ กุฏิวัดป่าบ้านตาด.บ้านตาด.เมือง.อุดรธานีสิริรวมอายุ75 ปี พรรษา 74

ล่าสุด 20 พ.ค.63 มีควมเคลื่อนไหวจากแฟนเพจ THE TRUTH ได้เผยแพร่บทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุดังกล่าว ระบุว่า.. หลวงพ่อสุดใจละสังขาร​ ท่านแสดงให้เห็นธรรมว่านิพพานมีจริง​ #thetruth

จงเปล่งวาจาสาธุการ​เถิด​ สิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่โศกนาฏกรรม​ แต่คือ​การแสดงธรรมครั้งสุดท้ายว่านิพพานมีจริงด้วยวาระสุดท้ายของตัวท่านเอง

ถามกันก่อนว่าเมื่อรู้ตัวว่าต้องตายแน่ๆ​ เราเป็นแบบนี้หรือไม่​
“…ตอนที่ความตายเคลื่อนเข้ามาหาเรา ตรงนั้นแหละนาทีทอง สามารถเปิดใจของเราให้เห็นแจ้งในความจริง ได้เข้าใจโมงยามแห่งสัจธรรม พระอรหันต์หลายท่านบรรลุธรรม พ้นทุกข์ตอนที่กำลังจะตาย บางคนป่วยหนัก มีทุกขเวทนา บางท่านถูกไฟคลอก บางท่านเห็นสัจธรรมตอนที่เอามีดปาดคอตัวเอง ตอนนั้นเองความตายได้เผยสัจธรรม ในยามที่เรามีสติเปิดใจรับรู้สัจธรรม โอกาสที่จะเกิดปัญญาเพื่อบรรลุธรรมมีสูงมาก คนที่เข้าใจเรื่องความตายจะเห็นโอกาสตรงนี้…” (พระไพศาล​ วิสาโล)

หรือเป็นแบบนี้​”…มือเท้าเย็น เขียวซีด ผิวเป็นจ้ำ ปัสสาวะออกน้อยและมีสีเข้ม เนื่องจากการไหลเวียนของโลหิตลดลง ส่งผลให้ความดันเลือดตก ชีพจรเต้นเร็ว​ หายใจผิดปกติ อาจหายใจตื้นๆ หยุดหายใจเป็นช่วงๆ หรือหายใจเร็วกระชั้น เนื่องจากภาวะความเป็นกรดด่างในเลือดผิดปกติ (สยมพร รัตนดิลก ณ ภูเก็ต พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ซึ่งดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย)

นั่นไม่ต้องพูดถึงวินาทีที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายในภาวะคับขับ​ ไม่คาดคิด​ และรู้ตัวว่าต้องตายแน่ๆ​ คนส่วนมากจะดิ้นรนหาทางเอาตัวรอด​ หรือ​ กระเสือกกระสนทุรนทุราย​ ตื่นกลัว​ เจ็บปวด​ ทรมาณจนกระทั่งเสียชีวิต

ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลวงพ่อสุดใจ​ ทันตมโน​ เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด​ ที่ท่านมรณภาพจากเหตุอัคคีภัย ณ กุฏิวัดป่าบ้านตาด​ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา​

โดยผู้เห็นเหตุการณ์​เล่าว่า​ “…ไปถึงกุฏิไฟก็ไหม้ด้านหน้า มีทั้งไฟและควันมองอะไรไม่เห็น พอรู้ว่าเจ้าอาวาสยังอยู่ในกุฏิ พระเณรก็เร่งเอาน้ำสาดดับไฟ แล้วบุกเข้าไปช่วยหลายครั้ง ครั้งแรกพบว่าท่านนั่งขัดสมาธิ ยังมีสติหันหน้าไปหน้าต่าง และก้มฟุบลงไปกับที่นอน แต่ไฟแรงมากช่วยท่านออกไม่ได้ ครั้งที่สองพบท่านนั่งอยู่ท่าเดิม หน้าผากเริ่มรอยดำแล้ว เราก็ยังช่วยท่านไม่ได้ ครั้งที่สาม รถดับเพลิงมา ฉีดน้ำจนไฟเบาลงมาก พบท่านตัวเอนลงมาแล้ว แต่พาออกด้านหน้าไม่ได้ ต้องงัดลูกกรงออกทางหน้าต่าง…” (พระนรา กะตะระโข​ พระลูกวัด)​

ลองคิดถึงสภาพคนทั่วไปเมื่อเจอสถานการณ์แบบเดียวกันจะเป็นอย่างไร​ ไร้สติ​ ตกใจกลัวสุดขีด​ สัญชาติญาณเอาตัวรอด​ ดิ้นรน​ ทุรนทุรายหาทางออก​ กรีดร้องขอความช่วยเหลือ​ หวาดผวา​ กลัวความตายที่จะมาเยือน​ เจ็บปวด​ ทรมานจากความร้อนของเปลวไฟ ก่อนที่จะหมดสติไปเพราะควันไฟ​และเสียชีวิตจากการขาดอ็อกซิเจน​ หรือกระทั่งเสียชีวิตเพราะเจ็บปวดมากที่สุดจากการถูกไฟครอกตาย​

แต่หลวงพ่อสุดใจ​ มิได้เป็นเช่นนั้น​ ในยามที่ท่านรู้แน่ว่าวาระสุดท้ายของชีวิตกำลังมาเยือน​ สิ่งที่ท่านทำและทำจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายคือ​ การมีสติ​และตั้งมั่นอยู่ในสติ​ ดังที่พระลูกวัดเห็นว่า​ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ในท่าสมาธิ​ แม้ล้มฟุบลง(เพราะธรรมชาติของร่างกายที่ค่อยๆขาดอ็อกซิเจน)​ ท่านพยายามประคองสติให้นานที่สุด​ โดยกลับมานั่งอยู่ในท่าเดิม​ จนกระทั่งท่านหมดสติไปก่อนที่จะมีคนเข้ามาช่วยทำร่างท่านออกมา​ นำส่งโรงพยาบาล​ และมรณภาพในเวลาต่อมา

การมรณภาพของหลวงพ่อสุดใจ​ ไม่เพียงเป็น​ “ปริศนาธรรม” แห่งการละสังขารของเหล่าอริยสงฆ์​เท่านั้น​ (“ปริศนาธรรม..การละสังขาร นั่งสมาธิของหลวงพ่อสุดใจ สู่แดนพระนิพพาน”. 23​ พ.ค.2563)​ แต่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ประจักษ์ชัดถึงความจริงของจิต

ความจริงของจิตที่ได้ฝึกมาดีแล้ว​ กับ​ จิตที่มิได้ฝึก ความจริงของจิตที่ก้าวพ้น​ไปแล้ว กับ​ จิตแห่งปุถุชนที่ยังอยู่ในวังวนโลภ​ โกรธ​ หลง

คนปกติจะกลัวความตาย​ นั่นไม่ต้องพูดถึงความตายอย่างเจ็บปวดและทรมาน​ แต่สำหรับผู้ที่ได้ฝึกจิตมาแล้ว​ ท่านถือว่าความตายคือ​ “นาทีทองของชีวิต” (พุทธทาสภิกขุ)​ และกล่าวย้ำคำของพระไพศาล​อีกครั้งว่า​ “…(เมื่อ)ความตายเคลื่อนเข้ามาหาเรา ตรงนั้นแหละนาทีทอง สามารถเปิดใจของเราให้เห็นแจ้งในความจริง ได้เข้าใจโมงยามแห่งสัจธรรม​…”

ในพระไตรปิฏก​ พระพุทธเจ้าสรรเสริญ​ มรณานุสติ​ อยู่เหนือการมีสติทั้งปวง​ และ​ บอกกับพระอานนท์ว่า​ พระองค์ได้เจริญมรณานุสติอยู่ตลอดเวลา​

กรณีหลวงพ่อคำเขียนเป็นอีกกรณีที่ชัดเจนในเรื่องนี้​ หลวงพ่อคำเขียนท่านเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง เนื้อบวม จนปิดหลอดอาหาร ช่วงหลังเริ่มปิดหลอดลม ก็ประทังชีวิตได้ด้วยการเจาะคอ เพื่อช่วยหายใจ

เช้าวันหนึ่งท่านปลุกพระที่ดูแลเพราะหายใจได้ยากขึ้น ลูกศิษย์ก็ช่วยกันฉีดยา แต่ไม่สำเร็จ ระหว่างนั้นหลวงพ่อขอเข้าห้องน้ำ พอออกมา ท่านขอดินสอและกระดาษแล้วเขียนว่า “พวกเรา…ขอให้หลวงพ่อตาย” เพราะท่านรู้ว่าไม่มีประโยชน์ แล้วท่านก็พนมมือ ลูกศิษย์ก็นึกว่า ท่านขอบคุณ สักพักก็คอพับ หมดลม ลูกศิษย์มารู้ทีหลังว่า ท่านพนมมือลาตาย​ แน่นอนว่า​ เป็นคนธรรมดาที่หายใจไม่ออก ก็จะทุรนทุราย แต่ท่านนิ่งมาก เป็นตัวอย่างของคนที่ยอมรับความตาย ใช้ชีวิตฝึกฝนอบรมตนเองในเรื่องนี้​ (พระไพศาล​ วิสาโล)​

มรณานุสติ​ มีสติก่อนตาย​ พูดง่าย​ แต่เอาเข้าจริงๆมีใครที่ทำได้อย่างที่พูด​หรืออย่างที่ตำราบอกไว้​ เพราะการพูด​ บรรยาย​ เสวนาธรรม​ ก็ยังสื่อสารกันใน​ “สมมุติ” ทั้งภาษาและสถานการณ์​ ไม่ใช่การเผชิญกับความจริง​

ความจริงคือเมื่อเจอกับสถานการณ์จริงใครจะทำได้จริง อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับหลวงพ่อสุดใจ​ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่ากรณีของหลวงพ่อคำเขียน​ และในสถานการณ์เช่นนี้เองที่สิ่งที่ท่านทำโดยธรรมชาติแห่งจิตของท่าน คือการเผชิญหน้ากับสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องหวาดกลัว​ ด้วยความสงบ​ ตั้งมั่น​ เข้าใจในความเป็นจริง​ของชีวิต​ โลก​ และจักรวาล​ ตามกฏแห่งไตรลักษณ์​ และแน่นอนว่า​นั่นคือเรื่องเดียวกันกับผู้ที่สามารถละวางอัตตา​ ตัวตน​ ได้จนถึงที่สุดแล้ว​ ในเหตุการณ์ที่ต้องทุกข์และทรมานถึงที่สุด​ ท่านจึงมิได้ทุกข์เลยแม้แต่น้อย​ ท่านคือผู้ถึงนิพพาน​ ดับแล้วซึ่งกองทุกข์​

จงเปล่งสาธุการเถิด​ สิ่งที่เราเห็นมิใช่​ โศกนาฏกรรมของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาทั้งชีวิต​ แต่นี่คือการแสดงให้เห็นว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นคือความจริง​ ไม่มีเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น

หลวงพ่อสุดใจท่านละสังขาร​ในกองไฟ​นั้น ท่านแสดงให้เราเห็นธรรมว่า​ นิพพานนั้นมีจริง

#thetrut