ขอน้อมกราบถวายความอาลัย หลวงพ่อสุดใจ ทันตมโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด สู่แดนพระนิพพาน
หลวงพ่อสุดใจ ทันตมโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ละสังขารเมื่อศุกร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๑๐ น. ด้วยเหตุอัคคีภัย ณ กุฏิวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี สิริรวมอายุ ๗๕ ปี พรรษา ๔๗
จากคำบอกเล่าเหตุการณ์ของพระลูกวัด พระนรา กะตะระโข ระบุว่า ไปถึงกุฏิไฟก็ไหม้ด้านหน้า มีทั้งไฟและควันมองอะไรไม่เห็น พอรู้ว่าเจ้าอาวาสยังอยู่ในกุฏิ พระเณรก็เร่งเอาน้ำสาดดับไฟ แล้วบุกเข้าไปช่วยหลายครั้ง ครั้งแรกพบว่าท่านนั่งขัดสมาธิ ยังมีสติหันหน้าไปหน้าต่าง และก้มฟุบลงไปกับที่นอน แต่ไฟแรงมากช่วยท่านออกไม่ได้ ครั้งที่สองพบท่านนั่งอยู่ท่าเดิม หน้าผากเริ่มรอยดำแล้ว เราก็ยังช่วยท่านไม่ได้ ครั้งที่สาม รถดับเพลิงมา ฉีดน้ำจนไฟเบาลงมาก พบท่านตัวเอนลงมาแล้ว แต่พาออกด้านหน้าไม่ได้ ต้องงัดลูกกรงออกทางหน้าต่าง
การละสังขารของหลวงพ่อสุดใจ ดูราวกับว่าท่านนั้นตั้งใจจะละสังขารตามวิบากกรรมที่ได้กระทำมาในชาติก่อนๆ ชวนให้นึกถึงพระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์ พระอรหันต์ผู้ทรงคุณวิเศษ ยังต้องถูกโจรทุบตาย ด้วยเพราะใช้กรรมจากอดีต เนื่องจากเคยทารุณบิดามารดาจนถึงแก่ความตายในกาลก่อน
ในอรรถกถาพระธรรมบทเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง พวกนิครนถ์ประชุมกันวางแผนสังหารพระมหาโมคคัลลานเถระ เพราะคิดว่าเมื่อกำจัดพระเถระรูปนี้เสียแล้ว ก็จะทำให้ลาภสักการของพระศาสดาสิ้นสุดลง และลาภสักการดังกล่าวจะตกเป็นของพวกตน
ดังนั้นจึงได้ไปว่าจ้างพวกโจรไปสังหารพระโมคคัลลาน์ ซึ่งในขณะนั้นพำนักอยู่ที่กาฬสิลา ใกล้กรุงราชคฤห์ แต่ด้วยเหตุที่พระเถระมีฤทธิ์มาก เมื่อถูกพวกโจรเข้าล้อมวัด ในวันแรกพระเถระได้ใช้กำลังแห่งฤทธิ์หลบหนีออกมาผ่านทางช่องลูกกุญแจ ในวันที่สองได้หลบหนีออกมาทางหลังคากุฏิ
พระเถระสามารถหลบหนีพวกโจรได้ในช่วงสองเดือนแรกพอถึงเดือนที่สามพระเถระระลึกได้ว่าท่านเคยประกอบกรรมทำชั่วมาในชาติหนึ่งท่านจึงไม่ยอมใช้ฤทธิ์ทำการหลบหนีอีกต่อไปท่านจึงถูกโจรจับและถูกทุบตีจนกระทั่งกระดูกแตกละเอียด
หรือ หรือกรณีของ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ในบันทึก “ผลกรรมของหลวงพ่อ โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม” ได้บอกเล่าถึง กรรมจากการรับจ้างต้มเต่า และ จากการหักคอนก โดยท่านได้นิมิตถึงวาระแห่งความตาย ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๑ เที่ยงสี่สิบห้าเพื่อใช้หนี้นกที่หักคอ และได้ทราบล่วงหน้าหลังจากนั่งสมาธิ๖เดือนเศษ
ครั้นถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคม เที่ยงสี่สิบห้านาที หลวงพ่อจรัญ มีเหตุให้ต้องไปประชุมที่ จังหวัดลพบุรี พอดีวันนั้นนายแพทย์ศิริราชมาเลี้ยงเพลที่วัด หลังจากเลี้ยงเพลเสร็จ หลวงพ่อจรัญลาญาติโยม ก็ขึ้นรถเวลาประมาณ เที่ยงกว่าแล้ว ซึ่งมีนาวาตรีวาด เกษแก้ว อาศัยรถเดินทางไปด้วย เมื่อออกจากวัดเลี้ยวขวาเข้าลพบุรี ถึงหลังตลาดปากบาง กระทั้งถึงปั๊มน้ำมัน เกิดอุบัติเหตุเวลาเที่ยงสี่สิบห้าพอดี นาวาตรีวาด ที่เดินทางมาด้วยได้รับบาดเจ็บ หลังหัก ขณะที่หลวงพ่อจรัญ ไหล่ชนเหล็กหัก กระจกครูดเอาหนังหัวไปอยู่ตรงท้ายทอย คอพับไปที่หน้าอก จนหมุน เลือดเต็มจมูก แต่ยังมีสติรู้สึกตัวดีอยู่ ด้านคนขับก็สลบ
จากนั้นนำได้ตัวหลวงพ่อจรัลส่งโรงพยาบาล ขณะเดินทางอยู่นั้นท่านเล่าว่า ได้ยินเสียงแว่วแผ่วมาแต่ไกล เสียงดังนี้ สมน้ำหน้า ๆ ได้ยินมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวต้องซ้ำ ๆ สักประเดี๋ยวเห็นเต่าจากนั้นฝาหม้อน้ำรถอยู่ตรงนั้นหลุดพรวดลวกตัวหลวงพ่อจรัลเพียงคนเดียว
หลวงพ่อจรัลได้ขออธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขอให้ไปสบาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว ขออโหสิกรรมทุกอย่างกับโลกมนุษย์ ในเมื่อข้าพเจ้ายังใช้หนี้ในโลกมนุษย์ไม่หมดขอให้ข้าพเจ้าไปใช้ในชาติต่อไป ประการที่ ๒ ถ้าข้าพเจ้าใช้หนี้ในโลกมนุษย์หมดแล้ว อย่าได้ทรมานต่อไป กระทังบุรุษพยาบาล๒คนเข็นเตียงตกร่องประตูเหล็กโครมใหญ่ทำให้คอลั่นกร๊วบติดเข้าที่เลย
และเหตุมรณภาพของ “พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ” อดีตเจ้าอาวาสวัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) จังหวัดหนองคาย(ขณะนั้น–ปัจจุบันเป็น จ.บึงกาฬ) เมื่อครั้งที่เกิดอุบัติเหตุจากเครื่องบินตกที่ อ.ธัญบุรี เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๗ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้หลายคน ในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนภาคอีสาน ได้ถึงแก่มรณภาพพร้อมกันหลายรูป มีพระอาจารย์จวน, พระอาจารย์วัน, พระอาจารย์สิงห์ทอง เป็นต้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ว่าท่านเหล่านี้ล้วนทรงคุณธรรมสัมมาปฏิบัติ ทำไมจึงต้องมามรณภาพแบบนี้
คำบอกเล่าของ หลวงปู่หลุย จันทสาโร เมตตาเล่าถึงบุพกรรมที่ทำให้พระอริยเจ้าทั้ง ๕ รูป ต้องประสบอุปัทวเหตุเครื่องบินตกในครั้งนี้ว่า
ในอดีตชาติ ท่านทั้ง ๕ เกิดในสกุลชาวนาที่ยากจน ต้องขวนขวายหาเลี้ยงชีพไปวันๆ ทั้ง ๕ คนเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันมา เมื่อยังเด็กได้จูงควายออกไปเลี้ยงพร้อมกัน ผูกควายกันแล้วก็พากันเล่นและออกหากบเขียดไปเป็นอาหารตามประสาคนจน
ทีนี้ ๑ ใน ๕ คน เกิดไปเห็นรังนกเข้า ก็ช่วยกันหาไม้เขี่ยรังนกให้ตกลงมาเพื่อหวังเอาไข่นกไปกิน แต่เมื่อรังนกตกลงมากลับกลายเป็นลูกนก ๓ ตัวแล้วตายสิ้น ไม่ใช่ไข่นกดังที่เข้าใจ
ด้วยวิบากกรรมอันนี้ส่งผลให้ท่านทั้ง ๕ ต้องตกจากที่สูงมามรณภาพ ในเครื่องบินลำนั้นมีคุณหญิงท่านหนึ่งกลับจากไปปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์จวนมาด้วย ท่านเลยมาสิ้นชีวิตพร้อมกัน
ในอดีต ขณะที่เด็กชายทั้ง ๕ กำลังเขี่ยรังนกอยู่นั้น เด็กหญิงลูกชาวนาผู้เป็นน้องสาวของ ๑ ใน ๕ คนก็มายืนเชียร์อยู่ข้างๆ “จะหล่นแล้ว…จะหล่นแล้ว” โดยเธอไม่ได้ลงมือทำ เด็กหญิงในภพนั้นคือคุณหญิงในภพนี้ ก็เพียงมีจิตคิดยินดีในการประกอบอกุศลกรรมของผู้อื่น วิบากนั้นยังส่งผลมาให้เกิดในภพชาติเดียวกัน บันดาลให้ไปตกเครื่องบินพร้อมกัน
แล้วถ้าทำเองเล่า ??? พูดถึงตรงนี้ หลวงปู่หลุยก็สั่งว่า “อย่าไปยินดีในการทำชั่วของคนอื่น เพราะเราจะมีส่วนในบาปนั้นด้วย แต่ให้ยินดีในการประกอบคุณงามความดีของตนและของคนอื่น เพราะจะได้แต่บุญโดยฝ่ายเดียว“
ขณะที่ยังมีรายงานเกี่ยวกับคำบอกเล่าของ หลวงปู่ดู่ ที่ได้กล่าวถึงเรื่องเหตุสลดนี้ว่า “ท่านเหล่านั้น ตายก่อนตาย ท่านจึงไม่กลัวตาย ท่านตายแล้วก่อนเครื่องบินจะตกลงกับพื้น”เรื่องนี้จึงยังความสงสัยให้กับลูกศิษย์ผู้หนึ่งเป็นอันมาก จนหลวงปู่ท่านตอบกลับมาราวกับรู้จิตว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์ กิเลสท่านหมดแล้ว ตายตอนไหนก็เป็นเรื่องของสังขารร่างกาย จิตท่านไม่ตาย”
ที่สำคัญยังว่าตรงกันหลายแหล่งว่า ความจริง พระเกจิอาจารย์ที่โดยสารมากับเครื่องบินลำนี้ ท่านทราบล่วงหน้าด้วยญาณอยู่แล้วว่าเครื่องบินลำนี้จะตกเมื่อใกล้ถึงสนามบิน แต่ท่านไม่ต้องการหลีกเลี่ยงกรรม จึงเต็มใจละสังขารแต่โดยดี
https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/323295