จากกรณีตามหาตัว ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ น้องชมพู่ อายุ 3 ขวบ โดยหายไปจากบ้านพักหมู่ที่ 2 ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.2563 ซึ่งครอบครัว และชาวบ้านช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไม่พบ
กระทั่งค่ำวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา พบศพน้องชมพู่อยู่ในสภาพเปลือยกาย ไม่พบบาดแผลตามร่างกายมีเพียงรอยข่วนจากหญ้าเล็กน้อยเท่านั้น
ต่อมา แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ผ่าชันสูตรศพน้องชมพู่ ปรากฏว่าพบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย และ อวัยวะเพศมีบาดแผล แพทย์จึงเก็บตัวอย่างของเหลวในช่องคลอดไปตรวจหาอสุจิ ซึ่งระยะการเสียชีวิตยังไม่นานเกินไปหากมีอสุจิก็สามารถตรวจพบได้ ส่วนน้องชมพู่จะถูกข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่ ต้องรอผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ
นอกจากนี้ แพทย์ยังได้เก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง เนื่องจากชิ้นเนื้อจะสามารถระบุได้ว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นเกิดจากการถูกทุบตี, กดทับ หรือมีการลากร่างเกิดขึ้นหรือไม่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผบ.ตร. กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจฝ่ายสืบสวนยังคงเร่งหาพยานหลักฐานทางคดี อย่างเสื้อกล้ามสีน้องชมพู่สวมใส่ในวันเกิดเหตุ ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญ เพราะผลชันสูตรศพจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบดีเอ็นเอของบุคคลอื่นปะปนอยู่ โดยอาจเป็นเพราะสภาพศพที่เสียชีวิตในลักษณะเปลือย และถูกทิ้งไว้ในป่าเป็นระยะเวลานานก็อาจหลักฐานเสื่อมสภาพลง
หลังจากนี้ตำรวจเตรียมส่งกางเกงขาสั้นของน้องชมพู่ ที่พบอยู่ห่างจากศพประมาณ 40 เมตร ให้กองพิสูจน์หลักฐานกลางดำเนินการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการอย่างละเอียด เพื่อดูว่ามีร่องรอยของคนร้ายหลงอยู่หรือไม่
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมคัดกรองบุคคลภายนอกที่ผ่านเข้า-ออก หมู่บ้านกกตูม ในชวงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไป คือตั้งแต่ช่วงเช้า วันที่ 11 พ.ค.2563 จนถึงช่วงค่ำ วันที่ 14 พ.ค.2563 โดยจะมีการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดบนถนนสายหลัก และตรวจสอบจากทะเบียนประวัติที่ด่านตรวจโควิด-19 แยกเต่างอย ซึ่งห่างจากบ้านน้องชมพู่ประมาณ 5 กิโลเมตร
“เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนหลายหน่วยยังระดมกำลังกันอย่างเต็มความสามารถ เพื่อหาเบาะแสคนร้ายที่ก่อเหตุ ลักพาตัวน้องชมพู่ไปฆาตกรรม โดยล่าสุดมีการตั้งรางวัลนำจับคนร้ายเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท และตั้งรางวัลให้คนพบเสื้อของน้องชมพู่ที่สวมใส่วันในวันเกิดเหตุอีกจำนวน 100,000 บาท สำหรับผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวไปสอบปากคำ พร้อมกับเก็บ ดีเอ็นเอ ไว้ก่อนหน้านี้ ทุกคนยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติภายในหมู่บ้าน”