จากที่สมพงษ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยอมรับมีคนจะแยกออกไปตั้งพรรคใหม่ ล่าสุดวันนี้ (23 พ.ค.63) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ประชุมส.ส.ผ่านระบบซูม เตรียมอภิปรายโดยเฉพาะ พ.ร.ก. 3 ฉบับ
ทั้งนี้ที่รัฐบาลออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์เข้าร่วม โดยส.ส.ร่วมลงชื่อขออภิปรายประมาณ 50 คน มาตรการที่รัฐใช้ในการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้แก่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การล็อกดาวน์ประเทศ การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการประกาศเคอร์ฟิว ไม่ได้สัดส่วนกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด
ทำให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลหมดความจำเป็นที่จะคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีกต่อไป ในทางกลับกันรัฐบาลควรปลดล็อคให้ความสำคัญกับการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะเสียหายมากที่สุดในรอบ 100 ปี โดยประเมินว่าจีดีพีอาจจะติดลบถึงร้อยละ 7-9 ส่งผลคนตกงานมากกว่า 7-10 ล้านคน
สำหรับมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลยังเยียวยาไม่ทั่วถึง ดำเนินการด้วยความล่าช้า สร้างกติกากฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากกับประชาชน ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการเยียวยา และส่อไปในทางทุจริตเอื้อพวกพ้อง รวมทั้งไม่มียุทธศาสตร์ที่ทำให้การเยียวยาเกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
โดยจะเห็นได้จากข่าวทำให้ประชาชนต้องฆ่าตัวตาย และเงินเยียวยาที่ประชาชนจะต้องเป็นผู้ชำระหนี้ไหลไปสู่กระเป๋าของมหาเศรษฐีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขียนจดหมายไปขอให้ช่วยรัฐบาล
นอกจากนี้ในส่วนการพยุงรักษาเศรษฐกิจไม่ให้ล่มสลาย พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลมิได้มีมาตรการที่จะดูแลรักษาหรือช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเลิกกิจการ หรือบางรายต้องย้ายฐานเศรษฐกิจไปลงทุนในประเทศอื่น ส่งผลทำให้เกิดการเลิกจ้างงานซึ่งจะทำให้คนตกงานอย่างมหาศาล ปัญหาอาชญากรรมจะตามมา
พระราชกำหนด 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชกำหนดช่วยเหลือเอสเอ็มอี และ พระราชกำหนดรักษาเสถียรภาพทางการเงิน หรือที่เรียกว่า พระราชกำหนดอุ้มหุ้นกู้เศรษฐีที่กระทรวงการคลังจะต้องเข้าไปช่วยใช้หนี้จากเงินภาษีของประชาชนไม่ตอบโจทย์ของประเทศและไม่สามารถพยุงรักษาเศรษฐกิจไว้ได้ ทางพรรคเพื่อไทยเห็นว่าสถานการณ์โควิด-19
แม้จะเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจของโลกแต่จะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของไทยโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารปลอดภัย การท่องเที่ยวและบริการ การแพทย์และการสาธารณสุข การลงทุน และอสังหาริมทรัพย์ แต่รัฐบาลจะต้องรักษาฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้ได้ นั่นคือ การบริโภคภายใน
นอกจากนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวในที่ประชุมอีกว่า ขอให้ ส.ส. ได้ลงพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนเรื่องการเยียวยาและรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อนำมาอภิปรายในสภาฯ โดยจะจัดให้มีการติวเข้ม ส.ส. ทุกวันตั้งแต่วันเสาร์จนถึงวันอังคารก่อนจะมีการอภิปราย โดยเชื่อว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและจะเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
ที่มาNEW18(https://www.newtv.co.th/news/56639)