บนเพจเฟซบุ๊ก “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” โพสต์ข้อความให้ความรู้ระบุว่า ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 85 ปี เป็นโรคเบาหวานและไขมันสูง เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2559 มาโรงพยาบาลด้วยอาการพูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก หูข้างซ้ายอื้อ มีเสียงดัง
หลังจากจามแล้วเอามือปิดจมูก ปิดปากพร้อม ๆ กัน ได้ทำ MRI คลื่นแม่เหล็กสมอง พบมีลม (air pocket) ในเนื้อสมองข้างซ้ายขนาด 7 × 4 × 3.2 เซนติเมตร
ให้การรักษาตามอาการ ผู้ป่วยดีขึ้นช้า ๆ และกลับมาเป็นปกติ ทำคอมพิวเตอร์สมองซ้ำ ลมคงค่อย ๆ ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด หายไปเองภายใน 50 วัน ได้เตือนผู้ป่วยเวลาจามห้ามเอามือมาปิดจมูกและเม้มปากอีกเด็ดขาด
วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ผู้ป่วยกลับมารพ.อีกครั้ง หลังจากจามแล้วเอามือปิดปากปิดจมูกเพราะไม่อยากให้มีเสียงดัง หลังทำมีอาการพูดไม่ชัด หน้าข้างขวาเบี้ยว หูข้างซ้ายอื้อ มีเสียงดัง ทำคอมพิวเตอร์สมองพบลม (air pocket) ในเนื้อสมองข้างซ้ายขนาด 5.1 × 4.1 × 2.8 เซนติเมตร (ดูรูป) ตำแหน่งเดิมเหมือนเมื่อ 3 ปี 5 เดือนก่อน แต่ปริมาตรของลมในเนื้อสมองครั้งนี้น้อยกว่า ผู้ป่วยนอนในโรงพยาบาล 4 วัน อาการดีขึ้นช้า ๆ กลับบ้านได้
สาเหตุของลมเข้าสมองทั้ง 2 ครั้ง ของผู้ป่วยรายนี้ คือจามแล้วเอามือปิดจมูกปิดปากพร้อม ๆ กัน ปกติความแรงของการจามทำให้ลมพุ่งออกจากจมูก และปากด้วยความเร็วสูงถึง 110 กม/ชม เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้ปิดจมูกปิดปากขณะจาม แรงดันในช่องปากคงสูงมาก ลมผ่านจากท่อในปากเข้าหูชั้นกลางด้านซ้าย แล้วดันทะลุผ่านกะโหลกใต้สมองเข้าเนื้อสมองด้านซ้าย
นอกจากลมจะรั่วเข้าสมองจากการบังคับไม่ให้จามออกทางปากและจมูกแล้ว ยังมีรายงานแรงดันสูงทำให้ปอดรั่ว แก้วหูทะลุ ผนังช่องคอทะลุ เส้นเลือดในสมองแตกได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นอย่าทำร้ายตัวเองด้วยการเอามือมาปิดจมูกและปากขณะจามเด็ดขาด
Posted by หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC on Wednesday, May 20, 2020
ที่มา : หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC