สภากาชาดไทย เผยการบริจาคโลหิตลดลง 50% เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อผู้ป่วยโรคเลือดกว่า 1 หมื่นราย ที่ต้องรับเลือดในการรักษา
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ไม่สามารถหยุดการรับบริจาคโลหิตได้ เพราะยังมีผู้ป่วยต้องใช้โลหิตเป็นประจำ คือ ผู้ป่วยเด็กโรคเลือดกว่า 1 หมื่นราย ซึ่งไม่มียาชนิดใดรักษาได้นอกจากการรับโลหิตเท่านั้น ในภาวะวิกฤติเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้โลหิตในประเทศไทยเข้าขั้นขาดแคลน
รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันการจัดหาโลหิตบริจาคในแต่ละวัน จะต้องจัดหาให้ได้ 2,500 ยูนิต แต่ขณะนี้มีจำนวนลดลงกว่า 50% ไม่เพียงพอจ่ายให้กับผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ซึ่งเป็นโรคเลือดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้รับยีนธาลัสซีเมียจากพ่อและแม่ทำให้การสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ส่วนใหญ่มีอาการซีดตั้งแต่อายุขวบปีแรก ในรายที่เป็นชนิดรุนแรง ต้องได้รับการรักษาโดยการรับโลหิตเป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง หากไม่ได้รับโลหิต ผู้ป่วยจะมีภาวะซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตจะลดลง

ศ.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเลือด โรคมะเร็ง และชีวาภิบาล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากข้อมูลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2562 มีผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่ต้องได้รับโลหิตเป็นประจำ จำนวน 13,841 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะต้องได้รับโลหิต 12-18 ครั้ง ต่อปี และได้รับโลหิตเฉลี่ยครั้งละ 1-2 ยูนิต (ถุง) หรือ ปีละประมาณ 332,184 ยูนิต (ถุง) นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยผ่าตัดใหญ่ อุบัติเหตุ ตกเลือดจากการคลอดบุตร ฯลฯ ที่มีการเสียโลหิตในปริมาณมาก ต้องให้โลหิตทดแทนอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยเหล่านี้ไม่สามารถที่จะเลือกเวลาได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ตาม
นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 การบริจาคโลหิตลดลงเรื่อย ๆ จนทำให้โลหิตในประเทศไทยเข้าขั้นขาดแคลน หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาด้วยโลหิตจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เพราะโลหิตเป็นยารักษาโรคที่จะต้องได้มาจากการบริจาคเท่านั้น

ข้อมูลจาก : สภากาชาดไทย