เป็นเรื่องเมื่อทั้งนักการเมือง นักวิชาการฝั่งที่ยืนอยู่ตรงข้ามรัฐบาลบิ๊กตู่ ออกมาหวังยำใหญ่ด้วยการไปหยิบเอาประเด็นเก็บภาษีผ้าอนามัย ก่อนที่ความจริงปรากฏแล้วกลายเป็นข่าวปลอม โดยกำลังมีการรวบรวมหลักฐานดำเนินคดี มีการขอศาลออกหมายเรียก ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีขบวนการลักษณะเช่นนี้ ซึ่งเป้าประสงค์พุ่งไปที่การโจมตีบิ๊กตู่และรัฐบาล!?!
16 ธ.ค.62 น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ฝากถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่าเอาพื้นฐานความรู้อะไรตัดสินใจให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เก็บภาษีในอัตราสูงและไม่ควบคุมราคาตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. 2562 ที่ผ่านมา
คณะรัฐมนตรีจัดให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่ไม่ควบคุมราคา ไหน พล.อ.ประยุทธ์ คุยนักหนาว่าตนเองอ่านหนังสือเยอะรู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องแค่สิทธิพื้นฐานของประชากรสตรีทำไมถึงไม่ทราบ ผ้าอนามัยไม่ใช่สินค้าเครื่องสำอางหรือสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์หามาใช้เพื่อสนองความต้องการทางใจ เป็นสินค้าที่สนองความต้องการทางกายภาพของเพศหญิง ผู้หญิงทั่วโลกไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเกิดมาโดยไม่มีมดลูก และประจำเดือนก็เป็นสิ่งที่ติดมาพร้อมการมีมดลูก
ผ้าอนามัยควรถูกมองว่าเป็นสินค้าจำเป็นต่อสุขภาพอนามัย ไม่ใช่คิดแค่ว่าเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของผู้หญิง รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์มองประชาชนเท่าเทียมไม่กดขี่ทางเพศ ต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพอนามัยของทุกเพศ ผ้าอนามัยคือสินค้าจำเป็นกับการดำเนินชีวิตสตรี รัฐบาลควรจัดให้เป็นสินค้าปลอดภาษี หรือแจกฟรีในสถานศึกษาทั่วประเทศ ไม่ใช่มาจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่สามารถเรียกเก็บภาษีได้ถึง 40% โดยไม่ควบคุมราคา
“ทำให้ในแต่ละเดือนประชากรสตรีต้องมีค่าใช้จ่ายในการในการซื้อผ้าอนามัยที่เป็นสินค้าจำเป็นต่อชีวิต 200- 400 บาทใกล้เคียงกับค่าแรงขั้นต่ำ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจโดยไม่คิดถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของสตรี ต้องการให้ประชาชนสตรีออกไปวิ่งไล่ลุงใช่หรือไม่” โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าว
ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบข้อมูลมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 17 เม.ย. 2562 ตามที่น.ส.เกศปรียาอ้างก็ไม่พบว่าไม่มีเรื่องที่คณะรัฐมนตรี มีมติจัดให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่ไม่ควบคุมราคา แต่กลับไปพบมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. 2561 ที่มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอาง พ.ศ. … มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอาง เพื่อประโยชน์ในการควบคุมคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ สุขอนามัย และความปลอดภัยของผู้ใช้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
โดยนายสมชัย ปรีชาทวีกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยด้วยว่า พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 มีการแก้ไขนิยามคำว่าเครื่องสำอางใหม่ คือ วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใดกับส่วนภายนอกของร่างกายมนุษย์ และให้หมายรวมถึงการใช้กับฟันและเยื่อบุในช่องปาก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ปรากฎหรือระงับกลิ่นกาย หรือปกป้องดูแลส่วนต่างๆ ให้อยู่ในสภาพดี
และรวมตลอดทั้งเครื่องประทินต่างๆ สำหรับผิว แต่ไม่รวมเครื่องประดับและเครื่องแต่งตัว ทำให้ผ้าอนามัยแบบสอด หลุดจากคำนิยามของเครื่องสำอาง เพราะในนิยามกำหนดว่าใช้ภายนอกร่างกายมนุษย์ แต้ผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นการใช้ภายในร่างกายมนุษย์ จึงต้องมีการออกกฎกระทรวงเพื่อให้กลับมาครอบคลุมอีกครั้ง ซึ่งในทางปฏิบัติการขอจดแจ้งยังเป็นเครื่องสำอางอยู่ และการควบคุมมาตรฐานของผ้าอนามัยยังคงเดิม
16 ธ.ค.62 ในวันที่โฆษกพรรคเพื่อชาติปล่อยข่าวเก็บภาษีมานั้น ทางด้าน นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ก็ออกมาชี้แจงในทันทีว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากสินค้าดังกล่าวไม่ได้จัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตแต่อย่างใด ภาษีผ้าอนามัยจึงมีเพียง ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวต (VAT) เท่านั้น เป็นภาษีของกรมสรรพสามิตที่เก็บเหมือนสินค้าชนิดอื่นทั่วไป
“ผ้าอนามัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้หญิง ซึ่งขัดกับสินค้าฟุ่มเฟือย ที่เป็นสินค้าที่ไม่มีความจำเป็นกับชีวิต ดังนั้นผ้าอนามัยจึงไม่เข้าข่ายสินค้าต้องถูกเก็บภาษี” อธิบดีสรรพสามิต กล่าว
ส่วนเพจเฟชบุ๊ก พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ “ข่าวเก็บภาษีผ้าอนามัย เป็นข่าวมั่วที่สุดประจำเดือน เพราะความจริงไม่มีการเก็บภาษีเพิ่มแต่อย่างใด” พร้อมติดแฮชแท็ก “#ข่าวมั่วเก็บภาษีฟุ่มเฟือยผ้าอนามัย อธิบดีกรมสรรพสามิต พชร อนันตศิลป์ ยืนยัน ชัดเจน !! ไม่มีการจัดเก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยถึง 40%
เนื่องจากสินค้าชนิดนี้ไม่ได้ถูกระบุในพิกัดการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต ดังนั้นภาษีผ้าอนามัยจึงจะถูกจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ตามราคาของสินค้าเหมือนสินค้าชนิดอื่น ๆ
“สินค้าฟุ่มเฟือย หมายถึง สินค้าที่ไม่มีความจำเป็นกับชีวิต หรือไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน แต่ผ้าอนามัยจัดอยู่ในสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ดังนั้นจึงไม่มีการเก็บภาษีโดยใช้หลักเกณฑ์ภาษีฟุ่มเฟือย และที่ผ่านมากรมสรรพสามิตก็ไม่มีการไปตรวจจับสินค้าชนิดนี้หน้าโรงงานเพื่อคิดภาษีฟุ่มเฟือยที่แต่อย่างใด”
อย่างไรก็ตามได้มีกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลเข้าไปคอมเม้นต์จำนวนมากในทำนองว่า ถ้ารัฐบาลคิดว่า เป็นข่าวปลอม หรือ fake news ก็ควรดำเนินการเอาผิดคนที่ปล่อยข่าว หรือแหล่งที่มาของข่าวดังกล่าวเพราะเกิดความเสียหายต่อรัฐบาล โดยเฉพาะบิ๊กตู่โดนด่าฟรี
ขณะที่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ จิรายุ ห่วงทรัพย์@JHoungsub โดยการแชร์ข้อความข่าวของโฆษกพรรคเพื่อชาติ ที่กล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ แบบมั่วในเรื่องการเก็บภาษีผ้าอนามัย ซึ่งรองเลขาฯพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความว่า
!!เก็บภาษี..โกเต๊ก..!!!
ลำบากเมียที่บ้านขอเงินเพิ่มแน่ๆโหยเพิ่งเคยพบเคยเห็น..คราวหน้าจะเก็บภาษี กกน.มั้ย?
รวมทั้งดร. โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ่อของ จอห์น วิญญู ดีเจ พิธีกร และนักแสดง ก็ได้แชร์ข่าวดังกล่าวของโฆษกพรรคเพื่อชาติลงในทวิตเตอร์ kovitw@kovitw1 โดยระบุว่า
ฟุ่มเฟือยบ้าอะไร ? มันเป็นของจำเป็นสำหรับสตรีคือปัจจัยที่ 5
17 ธ.ค. 62 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงการปล่อยข่าวเรื่องการขึ้นภาษีผ้าอนามัยและการเตรียมประกาศพ.ร.ก. ฉุกเฉินในพื้นที่กทม. ว่าทางกระทรวงและเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจทั้งกรณีขึ้นภาษีผ้าอนามัยรวมถึงการออกพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ทั้งหมดเป็นข่าวปลอม
หลังจากมีการยืนยันชัดเจนแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเร่งนำหลักฐานทั้งหมดไปดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการนำข้อมูลหลักฐานไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองคนใดหรือบุคคลอื่นที่หลังจากมีการยืนยันว่าเป็นข่าวปลอมแต่ยังไปเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว หรือไปตัดต่อ ให้เป็นคุณประโยชน์กับใครก็ตามเราจะดำเนินคดีแน่นอน
“วานนี้ได้มีการเรียกประชุม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้ขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งคิดว่าเร็วๆนี้ จะได้เห็นการขอหมายศาลออกมาเรียก บุคคลที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงและออกหมายจับต่อไป”
ต่อข้อถามที่ว่า กรณีนางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกของพรรคอนาคตใหม่ นำคำขวัญวันเด็ก ของพล.อ.ประยุทธ์ ไปบิดเบือนว่า “ผู้แทนของสำนักนายกรัฐมนตรีได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ปอท.และที่กระทรวง ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ก็รวบรวมเก็บข้อมูลหลักฐาน และทราบว่านางสาวพรรณิการ์เป็นคนแรกที่นำข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ก็ต้องเข้าไปตรวจสอบว่ามีเป็นข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด เพราะหากเป็นคนแรกที่นำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์จะมีความผิดตามพรบคอมพิวเตอร์มาตรา 14 วงเล็บ 1 แน่นอน” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
เช่นนี้ก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่ว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องข่าวปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการกระทำของนักการเมือง ส.ส.ที่มีสถานะและศักยภาพเพียงพอที่จะกลั่นกรองตรวจสอบได้ แต่ก็ทำได้เพียงหยิบฉวยเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริงมาขยายผลต่อ เพียงเพื่อโจมตีทำลายรัฐบาล ดังนั้นแล้วสมควรที่จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและเร่งด่วน!?!
#ปอกเปลือก#ปอกให้เห็นความจริง