จากที่หลายฝ่ายพยายามยื่นเรื่องให้ตรวจสอบกรณีชั้น14 ที่นายทักษิณ ขึ้นไปรักษาตัว ปรากฏว่าความจริงกำลังถูกเปิดเผยออกมา ว่าป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ ซึ่งมีความเคลื่อนไหวต่างๆออกมาบ่งบอกถึงใกล้เวลาที่ผู้กระทำผิดจะต้องรับโทษโดยต้องติดคุก!!!
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 07 พฤศจิกายน 2567 นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ออกมาโพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กว่า
“ต้องใช้ไม้แข็ง ปปช.ขอ เวชระเบียนไปยัง ร.พ.ตำรวจ ตามคำร้องที่ คปท. ศปปส.กองทัพธรรม พี่นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ไปยื่นคำร้องและเร่งติดตามมาตลอด 1 ปี การเฝ้าติดตามทำให้กระบวนการเดินหน้า ถึงแม้จะช้า แต่ก็เดินหน้า ปปช.ตอบคำถาม คปท.ในที่ประชุมว่า
1.ปปช.จะเร่งสอบพยานบุคคล ซึ่ง คปท.ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการในฐานะผู้ร้อง ให้ ปปช.เชิญ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธ์ มาสอบข้อเท็จจริง ปปช.ก็บอกเตรียมการไว้อยู่แล้ว (ต่อมาก็สอบเสร็จตามที่ทุกท่านได้ทราบ)
2.ปปช.บอกว่า ขั้นตอนสอบพยานคืบหน้ามาก เหลือ พยานเอกสารที่ต้องขอจาก 2.1. เวชระเบียน ร.พ.ตำรวจ 2.2. เอกสารนักโทษจากกรมราชทัณฑ์
ปปช.รับปากจะขอไป 3 ครั้ง รับปากว่าแต่ละครั้งใช้ช่วงเวลาห่างกัน15-30 วัน คปท.ถามว่า ถ้าเขาไม่ให้จะทำเช่นไร มีสภาพบังคับไหม ปปช.ตอบว่า มีมาตรา….ของ พ.ร.บ. ปปช.ที่มีสภาพบังคับ ถ้าไม่ให้เอกสารมาประกอบสำนวน มีโทษจำคุกเป็นปี
บัดนี้ ปปช.ขอเวชระเบียนไปยัง ร.พ.ตำรวจ ครบ 3 ครั้งแต่ยังไม่ได้ สมควรที่จะต้องใช้สภาพบังคับตาม พ.ร.บ.ปปช.ดังกล่าว และคนที่ต้องติดคุก คือ 1.ผบ.ตร. คนปัจจุบัน 2. นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ
เหตุเพราะ เมื่อ ปปช.ขอไปที่ ร.พ.ตำรวจ นายแพทย์ใหญ่ ทำหนังสือไปยัง ผบ.ตร. ให้ตัดสินใจตามสายบังคับบัญชา ปปช.ต้องดำเนินการตามกฎหมายไม่มีละเว้น งานนี้ ผบ.ตร. มีสิทธิ์ติดคุก ส่วนกรมราชทัณฑ์ ก็ทำนองเดียวกัน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็มีสิทธิ์ติดคุก”
ขณะที่ในวันเดียวกันนี้ (07 พ.ย. 67) ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงของรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะ ประธาน กมธ. เป็นประธานการประชุม เชิญบุคคลที่เกี่ยวเข้ามาให้ข้อเท็จจริงด้านกระบวนการยุติธรรมที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหรือไม่
โดยมีนายวัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์, พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ และ นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ประธาน กมธ. การอุมศึกษาฯ มาร่วมประชุม
สำหรับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส , พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ , น.ส.รามทิพย์ สุภานันท์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และรศ.วิชัย วงศ์ชนะภัย ผู้ช่วยเลขาธิการแพทย์สภา ไม่ได้มา เนื่องจากแจ้งว่าติดภารกิจ
ด้าน พล.ต.ต.สรวุฒิ ให้ข้อมูลว่า ช่วงเวลาที่ตนเองทำหน้าที่เป็นรองนายแพทย์ใหญ่นั้น ตนเองไม่ทราบข้อมูลผู้ป่วย เพราะมีหน้าที่ทำเรื่องบัญชี รวมช่วงนั้น กำลังจะทำเรื่องเออรี่รีไทร์ และได้ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการพักร้อน เมื่อมีหนังสือส่งตัวมาให้การรักษา เราก็จะทำการรักษา และส่งตัวกลับ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะของผู้ป่วย และความเห็นของแพทย์ที่ดูแลอยู่ด้วย
ขณะที่ นพ.วัฒน์ชัย กล่าวว่า กรณีของนายทักษิณ ส่งตัวจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ได้ผ่านโรงพยาบาลราชทัณฑ์ โดยกฎกระทรวงมีการระบุไว้ว่าผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วย จะต้องส่งโรงพยาบาลรัฐในครั้งแรก เรื่องการประสานส่งตัวนั้นขึ้นอยู่กับสถานะของโรงพยาบาลนั้นด้วย ว่าจะรับหรือไม่ ส่วนประเมินอย่างไรที่ส่งตัวนายทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจ และพยาบาลในสถานพยาบาลพิจารณาแล้วว่ามีความเสี่ยง จึงได้ทำการส่งตัว เนื่องจากตอนดึก นายทักษิณ พบว่ามีอาการแน่นหน้าอก ความดันสูงขึ้น ระดับออกซิเจนต่ำ
#ปปช. #พยาน #กรมราชทัณฑ์ #เวชระเบียน #จำคุก #ผบ.ตร. #อธิบดีราชทัณฑ์ #นพ.ใหญ่ #รพ.ตร. #ชั้น14 #ทักษิณ #พล.ต.ต.สรวุฒิ