จากกรณีการเรียกบุคคลเข้าให้ถ้อยคำของกรรมาธิการฯสภาซึ่งทำให้หลายคนได้รับคำตอบที่สงสัยกันมา ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ารักษา ขณะที่บางข้อสงสัยก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน???
โดยในวันนี้ (08 พ.ย.67) ทีมข่าว THE critics จะชวนให้ร่วมกันตรวจสอบถึงการซักถามเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมาซึ่งการประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร มีนายรังสิมันต์ โรม สส. พรรคประชาชน เป็นประธานกมธ.ฯ
“ที่ประชุม หารือกรณีการพักรักษาอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น14 โรงพยาบาลตำรวจ มีความถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล อาทิ นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ
กมธ.ส่วนใหญ่ตั้งคำถามพุ่งเป้าไปที่รายละเอียดการพักรักษาตัวของนายทักษิณ และหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการรักษาตัวของนายทักษิณ อาทิ ภาพถ่าย ภาพกล้องวงจรปิด รวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจเป็นไปตามมาตรฐานและระเบียบของกรมราชทัณฑ์หรือไม่”
ทั้งนี้ นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส. พรรคประชาชน ซักถามว่า อาการป่วยนายทักษิณ ที่ระบุเป็นภาวะฉุกเฉินกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ต้องส่งตัวด่วนจากโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไปโรงพยาบาลตำรวจ ใช้เวลาส่งตัว 21นาทีการเดินทางจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ระยะทาง 17 กิโลเมตร เดินทางโดยทางด่วน 17นาที การปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์หรือพยาบาลที่เรือนจำ จึงมีเวลาปฏิบัติการ 3 นาทีเท่านั้น
ขณะที่ น.ส.พรรณิการ์ วาณิช ที่ปรึกษากมธ. ซักถามว่า การพักรักษาตัวที่ชั้น14 ของนายทักษิณ มีค่าห้องและค่ารักษาพยาบาลเท่าใด ใครออกค่าใช้จ่าย ให้แสดงหลักฐาน
สำหรับเหตุการณ์ระหว่างที่กมธ.รุมซักถามนั้น นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส. พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษากมธ. เบรกการซักถามเป็นระยะๆ โดยกล่าวว่า การซักถามเรื่องหลักเกณฑ์ต่างๆไม่มีอะไรคืบหน้า คนมาชี้แจงก็ต้องตอบไปตามหลักการ คำถามวนไปมา ไม่น่าฟัง ถามถึงแต่ภาพถ่าย ภาพวงจรปิด ควรถามว่า การพักชั้น14 เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
ด้าน พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ชี้แจงว่า ช่วงที่ทำหน้าที่เป็นรองนายแพทย์ใหญ่ ไม่ทราบข้อมูลผู้ป่วย เพราะกำลังทำเรื่องเออรี่รีไทร์ และพักร้อนในช่วงนั้น เมื่อมีหนังสือส่งตัวมาให้รักษา ก็รักษา ขึ้นอยู่กับสภาวะผู้ป่วยและความเห็นของแพทย์ที่ดูแลด้วย
“ตนเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดผ่านกล้อง ไม่ได้เป็นผู้ผ่าตัดนายทักษิณ ส่วนนายทักษิณจะผ่าตัดหรือไม่ ตนไม่ทราบ เพราะตอนนั้นลาพักร้อน 3 สัปดาห์ ส่วนตัวไม่เคยไปรักษาชั้น 14 ไม่สามารถตอบได้ ขณะที่เรื่องการบันทึกภาพระหว่างรักษาตัว ก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่จากประสบการณ์ที่เคยรักษาผู้ต้องขังนั้น ไม่เคยเห็นต้องบันทึกภาพ” พล.ต.ต.สรวุฒิ กล่าว
ส่วน นพ.วัฒน์ชัย ชี้แจงว่า กรณีการส่งตัวนายทักษิณจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ได้ผ่านโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะพยาบาลในสถานพยาบาลพิจารณาแล้วว่ามีความเสี่ยง จึงส่งตัว เนื่องจากตอนดึกนายทักษิณมีอาการแน่นหน้าอก ความดันสูงขึ้น ระดับออกซิเจนต่ำ กรณีมีผู้ป่วยต้องออกไปรักษาตัวด้านนอก ต้องส่งโดยเร็ว ป้องกันเหตุพิการ เสียชีวิต ศักยภาพของโรงพยาบาลในการรักษาด้านโรคหัวใจนั้น มีเครื่องมือการแพทย์ไม่เพียงพอ จำเป็นต้องส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลภายนอก
“การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวด้านนอก ถ้าเป็นในเวลา เป็นหน้าที่ของแพทย์ในเรือนจำ แต่ถ้านอกเวลาจะเป็นพยาบาลเป็นผู้ประเมิน ไม่มีแพทย์คนใดเข้าไปในสถานพยาบาลแต่ละแดนนอกเวลา แต่พยาบาลก็มีทักษะประเมินผู้ป่วยฉุกเฉินได้ ถ้าเป็นกรณีฉุกเฉินคนเซ็นอนุญาตคือ ผู้บัญชาการเรือนจำ ส่วนการประเมินว่า ต้องได้รับการรักษาตัวต่อนั้น เป็นหน้าที่แพทย์ผู้รักษาของโรงพยาบาลตำรวจ โดยมีข้อมูลทางการแพทย์ว่า เหตุใดควรต้องรักษาตัวต่อ” นพ.วัฒน์ชัย กล่าว
นอกจากนี้ นพ.วัฒน์ชัย ยังกล่าวว่า เรื่องค่าห้อง และค่ารักษานายทักษิณนั้น อยู่ที่ 8,500 บาทต่อวัน รวมค่ารักษาอยู่ที่ประมาณ 1ล้านบาท ไม่มีข้อมูลว่า ใครเป็นผู้จ่าย แต่ผู้ต้องขังทุกคนที่อยู่ในโรงพยาบาล จะได้รับการรักษาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในทุกกรณี ยกเว้นกรณีที่เกินสิทธิ ผู้ต้องขัง หรือ ญาติผู้ต้องขังต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้
อย่างไรก็ตามทีมข่าว THE critics ตรวจสอบถึงค่าใช้จ่ายดังกล่าวก็พบว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ได้เปิดเผยไว้ว่าเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 จากการชี้แจงของ กรมราชทัณฑ์ ว่า ผู้ต้องขังที่รักษาตัวในโรงพยาบาลนอกเรือนจำจะใช้สิทธิการรักษาของตนเอง และผู้ป่วยหรือญาติจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายส่วนเกิน
#ค่าห้อง #ค่ารักษา #ทักษิณ #กรมราชทัณฑ์ #นพ.ใหญ่ #บันทึกภาพ #ผู้ต้องขัง #รพ.ตร. #ชั้น14 #กสม. #โรงพยาบาลราชทัณฑ์ #นพ.วัฒน์ชัย
