เปิดลึกคดีวางเพลิงปี53โดน2คดีศาลสั่งชดใช้อ่วม 30 ล้าน ณัฐวุฒิ-จตุพรจุก เหวง-กี้ร์ซีดคนละ10ล้าน แถมติดคุก-ล้มละลาย

0

จากที่แกนนำคนสำคัญอย่างณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ออกมาประกาศรื้อฟื้นคดีเสื้อแดงปี53 ท่ามกลางการจัดทำโผทหาร ซึ่งบางข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมา ได้เปิดเผยพฤติกรรมของบรรดาแกนนำผู้ชุมนุมที่ถูกกศาลพิพากษาอย่างมีนัยยะและน่าพิจารณา

ทั้งนี้หลังจากทีมข่าว THE TRUTH ได้นำเสนอข้อมูลของนายณัฐวุฒิ ก็พบว่ายังมีกรณีที่ศาลพิพากษาอีกหลายคนซึ่งต้องชดใช้ความเสียหายต่อเหตุการณ์เพลิงไหม้

สำหรับคดีดังกล่าวเพื่อให้สังคมได้รับรู้ทั่วกันคงต้องย้อนไป เวลา 09.45 น. ของวันที่ 16 ตุลาคม 2562 ที่ศาลแพ่ง ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ 1762/2554  ซึ่งนายประสงค์ กังวาฬวัฒนา เจ้าของกิจการอาคารพาณิชย์ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีต รมว.มหาดไทย กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และอดีต รมว.กลาโหม ยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-10 ฐานละเมิดเรียกค่าหาย และผิดตามสัญญาประกันภัย

บรรยายโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของอาคาร และร้านค้าย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (บริเวณใกล้อาคารเซ็นเตอร์วัน) ต่อมาเกิดการชุมนุมของกลุ่มนปช. และเจ้าหน้าที่รัฐได้สลายการชุมนุม นปช. ที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นำไปสู่เกิดเหตุการณ์เผาอาคารในหลายจุดทั่วกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในวันที่ 20-21 พฤษภาคม 2553

โดยสำนวนนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายกรณีเผาอาคารพาณิชย์ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใกล้อาคารห้าง สรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน และอาคารดอกหญ้า โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ในฐานะผู้เอาประกัน เรียกค่าเสียหายตามกรมธรรม์ และฟ้องจำเลย นปช.ฐานละเมิด

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องยืนกับจำเลยที่ 1-7  แต่พิพากษาให้นายจตุพร นายณัฐวุฒิ  และนพ.เหวง จำเลยที่ 8-10 (แกนนำ นปช.) ร่วมกันชำระเงิน 30,509,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

“ศาลฎีกาได้พิพากษาใจความว่า แก้ให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันชำระค่าอาคารพาณิชย์ที่พิพากษาพร้อมทรัพย์สินที่โจทก์เสียหาย 21,356,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พ.ค.53 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับค่าขาดผลประโยชน์ 1,200,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 100,000 บาท ไม่เกิน 24 เดือน นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 พ.ค.54) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระค่าอาคารพาณิชย์ที่พิพากษาพร้อมทรัพย์สินที่โจทก์เสียหายเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ให้เสียค่าเสียหาย ได้ไม่เกิน 24 เดือน ให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 3 ศาล”

ด้านนายกัณต์พัศฐ์ สิงห์ทอง ทนายความ เผยว่า วันนี้แม้ตนเคยทำหน้าที่ทนายความให้จำเลยที่ 8-10 แต่ตนมาในฐานะสังเกตการณ์ ไม่ได้มาในนามจำเลยทั้งสาม ไม่ถือว่าได้ทราบคำบังคับตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาอย่างไรเป็นอีกเรื่อง ส่วนค่าเสียหายเดือนละ 1 แสนบาท รวม 24 เดือน ก็ไม่เกิน 2.4 ล้านบาท เบ็ดเสร็จน่าจะรวม 25 ล้านบาทแล้วให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมมีค่าทนาย 1 แสนบาท นอกนั้นเป็นไปตามศาลอุทธรณ์ ดูๆแล้วประมาณ 30 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในวันเดียวกัน นายจตุพร เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า ตนและแกนนำนปช.ถูกศาลแพ่งพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายในคดีวางเพลิงช่วงการชุมนุม นปช.ปี 53 รวมแล้ว 2 คดี ในส่วนของตนและนายณัฐวุฒิ ต้องชดใช้เงินบวกดอกเบี้ยแล้ว ประมาณ 20 ล้านบาท นพ.เหวง โตจิราการ กับนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง บวกดอกเบี้ยแล้วคนละประมาณ 10 กว่าล้านบาท

“รู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายหนีไม่พ้นที่จะนำไปสู่การพิทักษ์ทรัพย์ และล้มละลาย นักรบบาดเจ็บหมด ทั้งติดคุก ล้มละลาย จ่อที่จะเข้าไปในคุก” นายจตุพร กล่าวในขณะนั้น

นี่คือความเป็นมาของคดีวางเพลิง ซึ่งหลายคนคงจดจำเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ทั่วเมืองหลวง และศาลากลางต่างจังหวัด มีคนเสื้อแดงติดคุกมากมาย รวมทั้งแกนนำที่วันนี้ดูเหมือนว่าได้แยกทางเดินกันมาสักพักใหญ่แล้วระหว่างอดีตคู่หูอย่างจตุพรและณัฐวุฒิ สุดท้ายใครเป็นอย่างไร เชื่อว่าสาธารณชนคงรับรู้กันดีอยู่แล้ว

 

#คดีวางเพลิงปี53 #ณัฐวุฒิ #จตุพร #หมอเหวง #กี้ร์ #อริสมันต์ #ล้มละลาย #ติดคุก #เสื้อแดง #นปช.