จากที่รัฐบาลเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงินหมื่น ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ท้วงติงจากหลายๆฝ่าย แต่ถึงที่สุดก็ยังดึงดันโครงการ แม้ข้อห่วงใยจะระบุถึงความเสียหายต่อภาพรวมของประเทศ รวมทั้งอาจจะนำพาไปสู่การทุจริตอย่างมโหฬาร?!
โดยเมื่อถึงเวลา 24 กรกฎาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปล่อยให้3ขุนคลังออกหน้านั่งแถลง แม้ก่อนหน้านั้นได้ตีปี๊บ จะนำแถลงครั้งใหญ่เอง
สำหรับ3ขุนคลังที่นั่งแถลงก็คือ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.การคลัง), นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รมช.การคลัง) และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง โดยชูประโยค ก้าวแรกของโครงการ Digital Wallet
กระนั้นอยากจะโฟกัสมาที่ตัวเจ้ากระทรวงอย่าง นายพิชัย เพราะต้องถือว่าเป็นผู้คุมทิศทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนว่า เมื่อเริ่มดำเนินโครงการแล้วจะก่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจจำนวน 4 ลูก ได้แก่ พายุหมุนลูกที่ 1 การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็ก ถือเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังฐานราก ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน
พายุหมุนลูกที่ 2 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดเล็กกับร้านค้าขนาดใหญ่ , พายุหมุนลูกที่ 3 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดใหญ่กับร้านค้าขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้เกิดการต่อยอดกำลังซื้อ การบริโภค หรือสร้างโอกาสในการลงทุนเพื่อประกอบอาชีพ
และพายุหมุนลูกที่ 4 พลังการใช้จ่ายของประชาชนแต่ละคนจะเกิดผลต่อการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นทวีคูณ ช่วยฟื้นฟูภาคการผลิตของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม-15 กันยายน 2567 และมีกำหนดการที่จะให้เริ่มใช้จ่ายในโครงการภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567
จากนั้นก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ซึ่งมีทั้งสนับสนุนและคัดค้านอยู่ในที โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันถัดมา 25 กรกฎาคมซึ่งคอลัมนิสต์ดังแห่งไทยโพสต์ อย่างผักกาดหอม ก็ออกบทความในทำนองสวนข้อแถลงของขุนคลังรัฐบาลแบบชวนให้คิด โดยมีเนื้อหาบางส่วนที่ระบุว่า
“คำแถลงฟังดูคล้ายๆ โฆษณาคั่นหนังกลางแปลง ขายยาซานโตส ขับถ่ายพยาธิได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นตัวตืด ตัวกลม ยันตัวจี๊ด หลุดลงชักโครก ส้วมหลุม ส้วมซึม ไม่เหลือแม้กระทั่งวิญญาณ
แจกเงินหมื่นผลมันออกมาเหมือนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเลยหรือครับ ถ้าจริง ตั้งงบล้านล้านบาท แจก ๒ รอบ ๓ รอบไปเลยครับ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่น แจกทั้งปีก็ไม่น่าเกลียด เสร็จแล้วก็ฉีกตำราเศรษฐศาสตร์ทิ้งให้หมด
พิชัย ชุณหวชิร เคลมว่าจะก่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจจำนวน ๔ ลูก ก็ไม่ทราบตำราเศรษฐกิจเล่มไหนครับ ที่การแจกเงินสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมได้
สร้างและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพนี่ยิ่งแล้วใหญ่ อยากให้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมหน่อยว่าทำอย่างไร ๕๐ ล้านคนที่ได้เงิน ๑ หมื่นบาท จะมีสักกี่คนเอาไปลงทุน สร้างอาชีพ เพราะข้อจำกัดที่รัฐบาลสร้างขึ้นมา
เมื่อพูดถึงพายุหมุนเศรษฐกิจ ๔ ลูก เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อที่ดูเกินจริงไปมาก แค่ลูกแรกก็แทบไม่มีกำลังจะไปต่อแล้ว หนี้ครัวเรือนขณะนี้ท่วมประเทศ
บรรดาร้านค้าที่ได้รับเงินดิจิทัลไป น่าจะขึ้นเงินสดเพื่อเก็บออมไว้ มากกว่าจะนำมาใช้จ่ายต่อ เพราะเขากลัวว่าพายุแห่งความฉิ…หายทางเศรษฐกิจมันจะเกิดขึ้น มันหยุดหมุนไปตั้งแต่ลูกแรกแล้ว
อีกอย่างมันลงไปไม่ถึงรากครับ เพราะร้านค้าตาสีตาสาหมดสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ เพราะการกำหนดคุณสมบัติร้านค้า ที่จะสามารถถอนเงินสดได้ เฉพาะร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี
ร้านค้าใหม่ที่ยังไม่ครบกำหนดยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ในปีภาษีแรก หรือรอบระยะเวลาบัญชีแรก จะพิจารณาจากการยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ร้านค้าต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์แบบรายเดือนในการลงทะเบียนรับสิทธิ เงื่อนไขแบบนี้ร้านค้าขนาดเล็กขายได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่อยู่ในระบบภาษี ตายหลายเด้ง
เดิมทีสู้ร้านสะดวกซื้อไม่ได้อยู่แล้ว มาเจอเงื่อนไขแบบนี้ นั่งตบยุงสถานเดียว ลูกค้าวิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อหมดครับ แล้วพายุมันจะหมุนอย่างไร”
อ่านรายละเอียด:https://www.thaipost.net/columnist-people/625822/
#คอลัมนิสต์ #พิชัย #พายุหมุนศก. #ผายลม #ร้านค้าขนาดเล็ก #ร้านสะดวกซื้อ #เศรษฐา #ดิจิทัลวอลเล็ต