นับเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ในการปลุกเร้าให้คนออกมาร่วมชุมนุมของธนาธรที่ประกาศแล้วในเดือนหน้าจะลงสู่ท้องถนน!?! จึงต้องย้อนกลับไปดูคำพูดของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งก็น่าตกใจไม่น้อยสำหรับคนที่อ้างยึดประชาธิปไตยอยู่ตลอดเวลาแต่ขู่ถึงการลงถนน การนองเลือดหลายครั้งในช่วงเวลาแค่หนึ่งปี!!!
หนึ่ง – 26 ต.ค.2561 ที่หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ บรรยาย หัวข้อ “การเมืองไทยหลังการคลายล็อกทางการเมือง” โดยช่วงหนึ่งพูดว่า
“ไม่ว่าความเป็นไปได้จะไปทางไหน มีโอกาสสูงที่ประเทศจะกลับสู่ความวุ่นวายหลังเลือกตั้ง หากฝ่ายประชาธิปไตยชนะ อาจเกิดรัฐประหารอีก และประชาชนอาจทนไม่ไหว ลงสู่การเมืองบนท้องถนน
หรือหาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯต่อผ่านกลไกที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ คนก็อาจลุกฮือ เพราะหมดความอดทนเช่นกัน นำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกและนองเลือดอีกครั้ง กลับสู่วังวนเดียวกับทศวรรษที่ผ่านมา” นายธนาธร กล่าว
สอง – 30 ก.ย. 2562 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ นายธนาธร ร่วมเวทีสาธารณะ 30 องค์กรประชาธิปไตย (ครั้งที่ 2) หัวข้อ “การปฏิรูปสังคม – เศรษฐกิจ – การเมืองไทย กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” โดยมีเนื้อหาบางช่วงกล่าวว่า
“การแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางออกทางเดียวสำหรับประเทศไทย เพราะหากไม่ทำ รัฐธรรมนูญที่เหมือนระเบิดเวลา ถ้าไม่รีบถอดสลัก เมื่อถึงวันระเบิดจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
วาทกรรมที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามดิสเครดิตเราเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ หลักๆแล้วจะมีอยู่ 2 ข้อ1.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องหลักการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องรอง และ 2.การแก้รัฐธรรมนูญและการนำมาซึ่งความรุนแรง
สำหรับวาทกรรม การแก้รัฐธรรมนูญจะนำมาสู่ความรุนแรง เรื่องนี้ตนเห็นต่าง ประวัติศาสตร์บ้านเมืองบอกเราชัดเจนว่า ที่ใดที่มีการกดขี่ ที่นั้นจะเกิดการต่อสู้ ฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ไม่มีความยึดโยงกับประชาชน หากไม่แก้ไข ความรุนแรงนั้นจะมีแต่เพิ่มมากขึ้น” นายธนาธร กล่าว
สาม – 5 ต.ค. 2562 นายธนาธร จึงได้รับเชิญเข้าร่วมงาน Open Future Forum ที่จัดขึ้นโดยนิตยสารดิอีโคโนมิสต์ที่เกาะฮ่องกงโดย ช่วงหนึ่งของการเสวนา มิแรนดา จอห์นสัน ได้ถามความเห็นของนายธนาธรเกี่ยวกับสถานการณ์ในฮ่องกง
มิแรนดา : ขอคำถามสุดท้ายแบบเร็วๆ ถามกับไปที่คุณธนาธร คุณเคยบอกว่าเคยใช้เวลาที่ฮ่องกง เคยเรียนที่นี่ ฉันสงสัยว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในฮ่องกง (นายธนาธรหัวเราะ) เพราะเป็นเรื่องน่าสนใจที่คุณเป็นผู้นำการเคลื่อนไหว ขณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกงนั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้ผู้นำ
ธนาธร : จริงๆ แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในฮ่องกงนั้นสร้างแรงบันดาลให้กับเรา ขอผมพาคุณย้อนกลับไปในปี 2561 ตอนที่เรากำลังจะตัดสินใจว่าเราจะจัดตั้งพรรคการเมือง จริงๆ ตอนนั้นมีสองทางเลือกให้เราว่าเราควรจะสร้างการเคลื่อนไหวหรือการตั้งพรรคการเมือง
คุณรู้ไหมว่ามันมีการถกเถียงกันครั้งใหญ่ภายในหมู่สมาชิกผู้ก่อตั้งพรรค (อนาคตใหม่) ว่าเราควรจะจัดตั้งการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือเราจะตั้งพรรคการเมืองดี และสุดท้ายเราก็ตัดสินใจตั้งพรรคการเมือง เพราะบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมในปี 2553 ยังคงเป็นบาดแผลสดอยู่
โดยในปี 2553 การเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม (เสื้อแดง) ของทางทหารทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงมากกว่า 100 คน และมีมากกว่า 1,000 คนที่ได้รับบาดเจ็บ และเรารู้ดีว่าพวกเขา (ทหาร) พร้อมที่จะทำทุกอย่างกับอำนาจที่เขามีในการรักษาสถานภาพเอาไว้
ดังนั้นเราเลยรู้สึกว่ามวลชนยังไม่พร้อมที่จะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ ความกลัวยังอยู่ในใจและความนึกคิดของผู้คน ดังนั้นเราเลยสรุปกันว่าถ้าเราดำเนินการเคลื่อนไหวไม่ได้ ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการตั้งพรรคการเมือง ดังนั้นผมจึงคิดว่าในทางหนึ่งฮ่องกงก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา” นายธนาธร กล่าว
สี่ – 1 พ.ย 2562 – ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย ได้ถอดรหัส “สาส์นจากธนาธร” ที่เขียนถึงสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งช่วงหนึ่งนักวิชาการจากสถาบันทิศทางไทยได้ชี้ประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจและชวนติดตามว่า
ผมอ่านความหมายของ”สาส์นจากธนาธร” ฉบับนี้ว่าเพื่อตั้งหลักรับมือกับ”วิกฤตศรัทธาพรรคอนาคตใหม่” ที่ก่อตัวขึ้นแล้วภายในพรรคและภายนอกพรรคในตอนนี้
ผมแปลกใจอยู่หน่อยตรงที่ธนาธรโยงสาส์นฉบับนี้ของตัวเองเข้ากับวันครบรอบ13ปีของการเสียสละชีวิตของนวมทอง ไพรวัลย์
การฆ่าตัวตายของนวมทองเป็นการยอมพลีชีพเพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย
… ธนาธรต้องการจะสื่อว่าตัวเขาและแกนนำพรรคอนาคตใหม่ยินดีพลีชีพเพื่อ”ลัทธิประชาธิปไตย” กระมัง?
หรือธนาธรกำลังจะสื่อว่าตัวเขาต้องการนำพาพลพรรคหรือชาวพรรคอนาคตใหม่รุดไปข้างหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดของเขาให้จงได้แม้จะต้องสละชีวิตกันก็ยอม?
ผมคิดว่าเราสามารถตีความสาส์นฉบับนี้ได้ทั้งสองนัยข้างต้นโดยไม่ขัดแย้งกัน
กล่าวคือเขาต้องการนำพลพรรคของเขารุดไปข้างหน้าจนสุดทางที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือ “Portrait ธนาธร”… แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกนั่นเอง
การที่มีคนๆหนึ่งออกมายืนป่าวประกาศต่อสาธารณชนว่าตัวเขาตั้งเป้าที่จะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินแม้ต้องแลกด้วยชีวิต
ถ้ามีผู้คนจำนวนมากแห่มาร่วมขบวนกับชายผู้นั้นด้วยแบบ”ตายเป็นตาย” คนผู้นั้นจะกลายเป็น”ผู้นำการปฏิวัติ” และนี่คือความฝันอันสูงสุดของชายคนนั้น
แต่ถ้าผู้คนในสังคมไม่มีใครเอาด้วยกับคำประกาศของชายผู้นั้นที่ตั้งตัวเองเป็น “ประกาศก” (The Prophet) ชายคนนั้นจะถูกคนในสังคมหัวเราเยาะและมองว่าเขาคือ คนบ้า
แต่ถ้ามีคนจำนวนหนึ่งเอาด้วยกับชายคนนี้ในระดับยอมพลีชีพด้วยได้ กลุ่มก้อนของชายผู้นั้นจะกลายเป็นกลุ่มกบฏหรือกลุ่มก่อการร้ายโดยปริยาย
ก่อนที่ในช่วงท้าย ดร.สุวินัย ได้เสนอทางเลือกให้คนที่เคยร่วมทางมากับนายธนาธรว่า ออกไปสร้างพรรคใหม่ ตั้งตัวเป็นผู้นำคนรุ่นใหม่ที่แท้จริงเอง เรียนรู้ทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของธนาธร มุ่งมั่นสร้างพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่มีพลังสร้างสรรค์อย่างแท้จริงและไม่สุ่มเสี่ยงต่อการทำให้เลือดนองแผ่นดิน
ห้า – 14 ธ.ค. 2562 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มพรรคการเมืองร่วมฝ่ายค้าน 7 พรรค จัดเวทีเสวนา เรื่อง พรรคการเมืองร่วมใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีนายธนาธร เข้าร่วมพูดคุยช่วงหนึ่งที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ระบุว่า การมีรัฐธรรมนูญใหม่ คือ การสร้างกติกาที่ทุกฝ่ายของสังคมยอมรับร่วมกันไม่ว่าพรรคไหน หรือเป็นกลุ่มพลังทางสังคมกลุ่มไหน
“ไม่ว่าใครแพ้หรือชนะเลือกตั้งต้องปฏิบัติตามกติกา ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายยอมรับ คือ ทางรอดเดียวของประเทศไทย ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมมองว่ามี 2 ทาง คือ แก้ด้วยเลือด หรือ แก้ด้วยการยินยอมพร้อมใจจากทุกฝ่าย หากฝ่ายผู้มีอำนาจไม่พร้อมเปิดพื้นที่ หรือผ่อนปรนให้คนเห็นต่าง ดังนั้น คงไม่มีทางเลือกใดให้เหลืออยู่ เพราะเขาเป็นฝ่ายผลักให้เราเลือกทางเลือก” นายธนาธร กล่าว
หก – 14 ธ.ค. 2562 นายธนาธร เดินทางมาถึงบริเวณที่ชุมนุมหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ และสกายวอล์ก ซึ่งได้ปราศรัยช่วงหนึ่งว่า ในวันนี้เราชุมนุมกันบนสกายวอล์กอย่างสงบ 1 ชั่วโมง หลังจาก 6 โมงเย็น หลังจากเราเคารพธงชาติแล้ว เราก็จะแยกย้ายกัน แต่ในเดือนหน้า เราจะลงถนนด้วยกัน เราจะมาวิ่งไปพร้อมกัน
เจ็ด – หลังการชุมนุมครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่าธนาธรจะออกมาจัดม็อบชุมนุมแบบที่เรียกว่าของจริง?!? ขณะที่มีเสียงมาจากจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.เตือนให้ระวังครั้งหน้าอาจถูกสร้างสถานการณ์ ซึ่งฟังแล้วเป็นคำเตือนที่ดูดีทีเดียว แต่ก็ทำให้สงสัยเช่นกันว่า ใครจะสร้างสถานการณ์ และหากเกิดขึ้นจริงใครได้ประโยชน์???
แน่นอนว่า ฝ่ายรัฐบาลย่อมไม่ได้ประโยชน์ใดถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นในม็อบ เพราะจะกลายเป็นปัจจัยสาเหตุอันจะสร้างความชอบธรรมให้กับคนจัดม็อบทันที!!! ที่จะอาศัยเหตุการณ์นี้ขยายผล รวมทั้งสายตาของต่างชาติที่จับจ้องอยู่ โดยเฉพาะพวกที่สนับสนุนธนาธร ที่จะฉวยจังหวะเข้ามาแทรกแซง !?! ซึ่งเรื่องนี้ให้ดูตัวอย่างฮ่องกงแรงบันดาลใจของธนาธรนั่นเอง?!?
#ปอกเปลือก#ปอกให้เห็นความจริง