จากที่วันนี้ (07 พ.ค.67) รศ.ดร.แสงเทียน อยู่เถา ประธานยุทธศาสตร์วิจัย สถาบันทิศทางไทย ได้ออกมาเผยแพร่บทความ แสง สีทอง หัวข้อ ฤๅจะมาฟอกขาว ข้าวฉาวในตำนาน (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗) ซึ่งมีเนื้อหาที่ชวนติดตาม
การที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ใช้โอกาสที่มาตรวจราชการในพื้นที่ จ.สุรินทร์ , ศรีสะเกษ และอุบลราชบุรี มาตรวจโกดังสินค้าซึ่งเก็บรักษาข้าวในโครงการไว้ เป็นเวลา 10 ปี ที่คลังสินค้า ของบางคลังสินค้าในจังหวัดสุรินทร์ มีการชักตัวอย่างนำข้าวจากกระสอบ ออกมาทดลองหุง และชิม ซึ่งคุณภาพข้าวที่หุงแล้วยังอยู่ในเกณฑ์ดี สามารถกินได้
ผมคิดว่าควรต้องรีบแก้ไขปัญหา เนื่องจากช่วงเวลานี้ ข้าวมีราคาค่อนข้างดี หากเร่งขายระบายออก จะเป็นการรักษาประโยชน์ของรัฐ และสะสางปัญหาให้กับทุกฝ่ายโดยจะนำเข้าสู่การประชุมของ คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ถือเป็นการคลี่คลายปัญหา
มันแปลกก็ตรงที่มีเจ้าของโกดัง พาณิชย์จังหวัด เจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า และเน้นที่สื่อมวลชน ในการไปหุงข้าวที่ชักตัวอย่างมาและทำการล้างหลายน้ำเพื่อหุงและกินโชว์ โดยมีสื่อช่วยประโคมข่าว ทั้งๆ ที่ในเรื่องการตรวจสอบคุณภาพข้าวมีงานวิจัยที่เกี่ยวกับการเก็บรักษาข้าวสารอยู่ก็ไม่น้อย ที่นักวิชาการเคยทำวิจัยกันมา เช่น Long-Term Storage of Milled and Brown Rice ของ ไพจิตร จันทรวงศ์ วิทยานิพนธ์ก็มีจำนวนมาก เช่น ผลของสภาพการเกบรักษาตอคุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และเคมีกายภาพของเมล็ดข้าวในระหวางการเกบรักษา ของ อลิษา ชุมภูพล้อย มีจากศูนย์วิจัยข้าวฯ กรมการข้าว เคยมีงานวิชาการคุณภาพข้าวระหว่างการเก็บรักษา และอื่นๆ อีกมากมายบ่งบอกว่าคนที่จะตรวจสอบควรเป็นนักวิชาการ ที่ทำเรื่องเหล่านี้ มีอยู่มากมาย
ประเทศของเรามีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ด้านนี้โดยเฉพาะคือ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ มีหน่วยงานทางด้านสุขภาพที่สำคัญทั้ง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือหน่วยงานด้านวิชาการอีกมากมาย เช่น สำนักโภชนาการของมหาวิทยาลัยต่างๆ ของมหาวิทยาลัยมหิดลก็มีมาตรฐานมีองค์ความรู้จากนักวิชาการมากมาย แต่ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลับเลือกใช้คนบางกลุ่มและสื่อมวลชนบางกลุ่มในการไปหุงข้าวเหล่านี้เพื่อรับประทานโชว์ออกสื่อ
ในฐานะนักวิชาการในสถาบันทิศทางไทยที่เราศึกษาทั้งในเรื่องของโครงสร้างราคาที่ไม่เป็นธรรมของข้าวในประเทศไทย จึงขอออกมาท้วงติงในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ว่าถ้าจะพิสูจน์ว่าคุณภาพข้าวจากโครงการที่พบปัญหาการทุจริตของชาติโดยเก็บไว้เป็น 10 ปี เพื่อนำออกมาจำหน่ายให้คนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวโลกสามารถนำไปบริโภคได้ ก็ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพเพื่อการบริโภคกันอย่างจริงจังจากหน่วยงานที่มีอยู่และเคยทำการศึกษาเรื่องนี้ หรือมีเครื่องมือที่จะตรวจสอบทางวิชาการ รวมถึงนักวิชาการที่จะเข้าร่วมทดสอบเพื่อเป็นการประกันว่า คุณภาพของข้าวสารนี้ยังมีความเหมาะสมในการบริโภคอยู่
อย่าสร้างภาพเพื่อโชว์โดยให้คนทั่วไปคิดเอาเองว่ายังทานได้ ไม่เช่นนั้นก็นำมาแจกไปเลยครับ คนที่รับแจกจะได้ทำใจได้ว่าคุณภาพเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ ยอมรับได้มากกว่า ราคาที่จะขายได้เป็นส่วนน้อยนิดเองเมื่อเทียบกับที่จะแจกเงินหมื่นดิจิทัล ถ้าคิดว่ายังรับประทานได้เอามาแจกประชาชนที่ต้องการไปเลย