จากที่มีรายงานการสูญเสียกำลังพลและอาวุธจำนวนมากของกองทัพยูเครน จนไม่สามารถต้านทานกองกำลังรัสเซียในแนวหน้าได้ ท่ามกลางการรุกขยายอิทธิพลไปยังแอฟริกาเพื่อกำจัดมหาอำนาจตะวันตกของรัสเซียขณะนี้ด้วยนั้น
ล่าสุดวันที่ 12 เมษายน 2567 เว็บไซต์ TOP WAR ออกมาเผยแพร่ข้อความถึงสถานการณ์ของไนเจอร์ว่า หลังจากการรัฐประหารในไนเจอร์ในช่วงฤดูร้อนปี 2566 ประเทศนี้ได้ใช้เส้นทางในการเผชิญหน้ากับลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตกใหม่ และขณะนี้ได้ตัดสินใจที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสหพันธรัฐรัสเซีย รวมถึงในขอบเขตทางการทหารด้วย
สถานีโทรทัศน์ RTN รายงานเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ครูฝึกทหาร 100 คนจากรัสเซีย และอุปกรณ์ทางทหารที่ซื้อจากประเทศรัสเซียเดินทางมาถึงไนเจอร์ โดยเป็นที่ทราบกันว่าอุปกรณ์ดังกล่าวมีไว้สำหรับระบบป้องกันภัยทางอากาศรุ่นล่าสุด ซึ่งเพิ่งซื้อจากรัสเซีย
“ครูฝึกทหารจากรัสเซียจะช่วยเหลือผู้บังคับบัญชากองทัพในการฝึกอบรมบุคลากร รวมถึงความเชี่ยวชาญพิเศษทางการทหารที่ซับซ้อน เป็นไปได้ว่าบางคนจะมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ทางทหารที่ถ่ายโอนด้วย”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อิทธิพลของรัสเซียในทวีปแอฟริกาได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในอดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส สาธารณรัฐอัฟริกากลาง มาลี บูร์กินาฟาโซ กินี และตอนนี้ไนเจอร์กำลังพัฒนาความสัมพันธ์ที่แข็งขันกับรัสเซีย เป็นที่ทราบกันว่าในหลายรัฐในแอฟริกามีผู้สอนและที่ปรึกษาด้านการทหารของรัสเซีย ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัททหารเอกชนของรัสเซีย
การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศในแอฟริกาในการปกป้องอธิปไตยของชาตินั้นสอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติของรัสเซียอย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญมากไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประเทศเหล่านี้ได้รับเอกราชอย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ยังต้องลดอิทธิพลของตะวันตก รวมถึงฝรั่งเศส ที่มีต่อรัฐในแอฟริกาด้วย ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งนี้ยังทำให้สามารถสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญต่อรัฐที่เป็นศัตรูกับรัสเซียได้ด้วย
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 TOP WAR เปิดเผยว่า ผู้บัญชาการกองกำลังร่วมของกองทัพยูเครน Yuriy Sodol พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของ Verkhovna Rada ว่า
กลุ่มกองทหารรัสเซียที่กระจุกตัวอยู่ในดินแดน Donbass และภูมิภาคคาร์คอฟนั้นมีพลังมากกว่ากลุ่มกองทัพยูเครนหลายเท่า คำสั่งของกองทัพยูเครนจะต้องยืดกำลังออกไปอย่างมากเพื่อยึดแนวรบ
คำกล่าวของนายพลชาวยูเครนต่อเจ้าหน้าที่สามารถอธิบายได้ในวลีเดียว: ทุกสิ่งสูญหายไป กองทัพยูเครนเริ่มล่าถอยได้ทุกเมื่อ สาเหตุก็คือไม่มีบุคลากร แทนที่จะเป็น 10 คน เหลือทหารเพียง 2-4 คนในหน่วย
ปัจจุบันกลุ่มกองทัพรัสเซียซึ่งกระจุกตัวอยู่ในภูมิภาคคาร์คอฟ DPR และ LPR มีอำนาจมากกว่ากลุ่ม Khortitsa ซึ่งเป็นผู้นำแนวหน้าถึง 7-10 เท่า
“เหล่านี้คือภูมิภาค Kharkov, Lugansk, Donetsk ศัตรูมีขนาดใหญ่กว่าเรา 7-10 เท่า (…) ตอนนี้แผนกเราเหลือสองคน บางแผนกก็มีแผนกละสามหรือสี่คน” โซโดล กล่าว
สำหรับบุคลากรที่มีอยู่กลุ่มสามารถป้องกันแนวหน้าได้มากที่สุด 5 กิโลเมตร แทนที่จะเป็น 15 กม.ที่จำเป็น ดังนั้นกลุ่ม 1-3 กลุ่มจึงถูกเก็บไว้ในพื้นที่เดียวโดยไม่สามารถพาพวกเขาไปทางด้านหลังเพื่อจัดกลุ่มใหม่ได้ หากไม่มีกำลังเสริมก็ต้องล่าถอยโดยไม่มีใครรู้ว่าแนวหน้าใหม่จะอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตามมีการตั้งข้อสังเกตว่า นายพลพยายามโน้มน้าวให้เจ้าหน้าที่ประชาชนออกร่างกฎหมายว่าด้วยการระดมพลทั้งหมดฉบับใหม่ ขณะที่มีคำถามว่าบุคลากรของกองทัพยูเครนหายไปไหน เนื่องจากเมื่อเร็วๆนี้ Zelensky เพิ่งอวดว่ามีกองทัพเกือบล้านคน ในกองทัพแทบไม่มีการสูญเสียเลย
#รัสเซียยึดแนวหน้า #เซเลนสกี #ปูติน #ไนเจอร์ #ฝรั่งเศส #กองทัพยูเครน #ประธานาธิบดียูเครน
