เลขาธิการสันนิบาตอาหรับออกมาฟันเปรี้ยงชัดว่า สหรัฐฯต้อง ‘รับผิดชอบทางศีลธรรมและการเมือง’ ต่อการรุกรานของอิสราเอลต่อฉนวนกาซา หลังจากมีมติคว่ำบาตร ๖๐ องค์กรและ ๒๒ บุคคลของอิสราเอลที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมล้างเผ่าพันธ์ปาเลสไตน์ เป็นการเคลื่อนไหวแข็งกร้าวต่อสองคู่หู สหรัฐฯและอิสราเอลก่อศึกตะวันออกกลาง ที่สำคัญคือ ๕๒ ประเทศออกมาหนุนให้อิสราเอลคืนแผ่นดินที่ยึดครองให้ปาเลสไตน์ แต่สหรัฐฯยังออกหน้ามาห้ามอีก
วันที่ ๒๒ ก.พ.๒๕๖๗ สำนักข่าวปาเลสไตน์โครนิเคิลและอัลอะราบิยารายงานถึง อะห์เหม็ด อาบูล เกต์ (Ahmed Aboul Gheit) เลขาธิการสันนิบาตอาหรับ เน้นย้ำว่า “จุดยืนของสหรัฐฯ บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในองค์กรระหว่างประเทศ และทำให้องค์กรอัมพาตรุนแรงขึ้น”
เลขาธิการสันนิบาตอาหรับ กล่าวว่า “สิทธิในการยับยั้งที่สหรัฐฯ ใช้ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ลงมติเรียกร้องให้มีการหยุดยิงทันทีในฉนวนกาซา สะท้อนให้เห็นมากมายเกี่ยวกับความรับผิดชอบทางการเมืองของวอชิงตันต่อความต่อเนื่องของการสู้รบในดินแดนที่ถูกคุมขัง”
“นี่เป็นครั้งที่สามแล้วนับตั้งแต่ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้นในฉนวนกาซาที่สหรัฐฯ ได้เข้ามาแทรกแซงเพื่อขัดขวางการยอมรับมติที่มุ่งเป้าไปที่การหยุดยิงในฉนวนกาซา”
สำนักข่าว Al-Youm as-Sabia อ้างคำพูดของหัวหน้าสันนิบาตอาหรับว่า สิ่งนี้ “ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรับผิดชอบทางการเมืองและศีลธรรมของฝ่ายบริหารของอเมริกา ต่อการรุกรานของอิสราเอลในฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง”
“เป็นการปกปิดทางการเมืองสำหรับอิสราเอลเพื่อทำสงครามกับชาวปาเลสไตน์ต่อไป และพูดถึงการที่ประชาคมระหว่างประเทศไม่สามารถหยุดยั้งอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซาได้”
แอลจีเรียที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิงทันทีในเขตความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอล สมาชิกUNSC ๑๓ คนจากทั้งหมด ๑๕ คนของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ลงมติให้มติดังกล่าว ซึ่งรวมถึงรัสเซียและจีน โดยสหราชอาณาจักรงดออกเสียง ดังนั้นสหรัฐอเมริกาจึงเป็นประเทศเดียวที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านมติดังกล่าว
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขของฉนวนกาซา ชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารไปแล้ว ๒๙,๓๑๓ ราย และบาดเจ็บ ๖๙,๓๓๓ รายจากการล้างเผ่าพันธุ์ที่อิสราเอลดำเนินอยู่ในฉนวนกาซาซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ ๗ ตุลาคมปีที่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนอย่างน้อย ๗,๐๐๐ คนที่ไม่มีการระบุตัวตน ซึ่งสันนิษฐานว่าเสียชีวิตใต้ซากปรักหักพังของบ้านเรือนทั่วแถบสตริป
องค์กรปาเลสไตน์และองค์กรระหว่างประเทศกล่าวว่าผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก
การรุกรานของอิสราเอลยังส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นเกือบสองล้านคนจากทั่วฉนวนกาซา โดยผู้พลัดถิ่นส่วนใหญ่ถูกบังคับให้เข้าไปในเมืองราฟาห์ทางตอนใต้ที่มีผู้คนหนาแน่นใกล้ชายแดนอียิปต์ ซึ่งกลายเป็นเมืองเต้นท์ที่ใหญ่ที่สุดของปาเลสไตน์ จากการอพยพครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ นักบาแรกนั่นเอง
ที่น่าตะลึงคือในขณะที่นานาชาติกำลังพยายามเต็มที่ช่วยฟื้นฟูชะตากรรมของปาเลสไตน์ สหรัฐฯไม่อายที่จะประกาศห้ามศาล ICJ สั่งให้อิสราเอลคืนแผ่นดินที่ยึดจากปาเลสไตน์ไปอย่างผิดกฎหมาย
สหรัฐฯ บอกกับศาลสูงของสหประชาชาติเมื่อวันพุธว่า อิสราเอลไม่ควรถูกบังคับให้ถอนตัวตามกฎหมายจากดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองโดยไม่มีหลักประกันด้านความปลอดภัย
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะจัดการพิจารณาคดีหนึ่งสัปดาห์หลังจากได้รับคำขอจากสหประชาชาติ โดยมี ๕๒ ประเทศให้ความเห็นเกี่ยวกับการยึดครองของอิสราเอลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
วิทยากรจากหลายประเทศ ส่วนใหญ่เรียกร้องให้อิสราเอลยุติการยึดครอง ซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามอาหรับ-อิสราเอลนาน ๖ วันในปี ๒๕๑๐ แต่วอชิงตันกลับออกมาปกป้องอิสราเอลออกหน้าที่ศาลICJ
ริชาร์ด วิเซค ที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า “การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามที่ทำให้อิสราเอลถอนตัวออกจากเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา จำเป็นต้องคำนึงถึงความต้องการด้านความปลอดภัยที่แท้จริงของอิสราเอล”
ตัวแทนจากอียิปต์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเจรจาระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ กล่าวว่า การยึดครองดังกล่าว “ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง”
จัสมิน มูซา ที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงการต่างประเทศอียิปต์ กล่าวว่า“ผลที่ตามมาของการยึดครองที่ยืดเยื้อของอิสราเอลนั้นชัดเจน และไม่สามารถมีสันติภาพ ไม่มีความมั่นคง ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองได้หากปราศจากหลักนิติธรรม”
การพิจารณาคดีเริ่มต้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาด้วยคำให้การสามชั่วโมงจากเจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์ ริยาด อัล-มาลิกี รัฐมนตรีต่างประเทศปาเลสไตน์ เรียกร้องให้ผู้พิพากษาสั่งยุติการยึดครอง “ทันที โดยสิ้นเชิง และไม่มีเงื่อนไข” และเปิดเผยว่าผู้ยึดครองอิสราเอลใช้ระบบ “ลัทธิล่าอาณานิคมและการแบ่งแยกสีผิว”อย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี
เอกอัครราชทูตแอฟริกาใต้ประจำเนเธอร์แลนด์กล่าวต่อศาลว่า นโยบายของอิสราเอลนั้น “สุดโต่ง” มากกว่าที่ชาวแอฟริกาใต้ผิวสีเหยียดสีผิวต้องทนทุกข์ทรมานก่อนปี ๑๙๙๔ คดีนี้แยกจากคดีที่มีชื่อเสียงซึ่งพริทอเรียฟ้องอิสราเอลในข้อหาล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างการโจมตีในฉนวนกาซาในปัจจุบัน ในกรณีดังกล่าว ICJ ตัดสินว่าอิสราเอลควรทำทุกวิถีทางตามอำนาจของตนเพื่อป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกา และยอมให้มีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เบาหวิวแบบนี้สหรัฐฯและอิสราเอลยังปฏิเสธและเมินเฉย เดินหน้าล้างเผ่าพันธ์ต่ออย่างบ้าคลั่ง
ลานา นุสเซเบห์ เอกอัครราชทูตยูเออีประจำสหประชาชาติกล่าวว่า“กฎหมายระหว่างประเทศไม่สามารถเป็นเมนูอาหารตามสั่งได้ มันจะต้องใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และมีความสำคัญมากกว่าภายใต้เงาอันยาวนานที่เกิดจากคำถามและความอยุติธรรมของชาวปาเลสไตน์ที่ยังคงมีมานานกว่าเจ็ดทศวรรษ”
ตอนนี้ศาลโลกICJ กำลังรับฟังข้อโต้แย้งจาก๕๒ ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ ๓ แห่งในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมมากที่สุดในคดีศาลโลกใดๆ ก็ตาม เพื่อทบทวน “การยึดครอง การตั้งถิ่นฐาน และการผนวกดินแดนปาเลสไตน์ของอิสราเอล พร้อมด้วยนโยบายที่มุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงประชากรศาสตร์ องค์ประกอบ ลักษณะ และสถานะของกรุงเยรูซาเลม” ถึงแม้สหรัฐฯและอิสราเอลจะเพิกเฉย แต่ในทางภูมิรัฐศาสตร์ สหรัฐฯและอิสราเอลแพ้ทางการเมืองใหญ่ไร้ความชอบธรรมแล้ว แต่ในที่สุดก็จะต้องชี้ขาดที่การทหารอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง!!