จากเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สำนักข่าวทาซนิมนิวส์ และสปุ๊ตนิกรายงานถึง เรือรบทหาร เซย์ยาด ชิราซี และฮัสซัน บาเกรี ซึ่งตั้งชื่อตามผู้บัญชาการอาวุโส ได้เข้าร่วมกองทัพเรือกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC)
สำหรับเรือรบล่องหนทั้งสองลำเป็นโมเดลที่สองและสามของเรือชั้นโซไลมานี ซึ่งลำแรกซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 6 มกราคม ได้รับการตั้งชื่อตามอบู มาห์ดี อัล-มูฮันดิส ผู้บัญชาการอิรักของหน่วยระดมพลยอดนิยม (PMU) ที่ถูกสังหารอย่างพลีชีพ ร่วมกับพลโทกัสเซม สุไลมานีของอิหร่านในการโจมตีของสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดดเมื่อเดือนมกราคม 2563
ล่าสุดวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 เว็บไซต์ TOP WAR ได้ออกมารายงานถึงความคืบหน้าต่อกองทัพอิหร่านว่า สำนักข่าวรอยเตอร์ อ้างอิงแหล่งที่มาบางส่วนของตนเอง ระบุถึง ทางการอิหร่านถูกกล่าวหาว่าถ่ายโอนขีปนาวุธจากพื้นสู่พื้นประมาณ 400 ลูกไปยังสหพันธรัฐรัสเซีย
ตามรายงานของหน่วยงาน อิหร่านถูกกล่าวหาว่า ถ่ายโอนขีปนาวุธระยะสั้น Fateh-110 เช่น Zolfaghar ไปยังรัสเซีย เป็นที่รู้กันว่าสามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะไกล 300 ถึง 700 กิโลเมตร หน่วยงานดังกล่าวอ้างว่าการส่งมอบขีปนาวุธเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2567 หลังจากการประชุมหลายครั้งในมอสโก และเตหะรานระหว่างตัวแทนของผู้นำกองทัพรัสเซียและอิหร่าน
ตามแหล่งข่าวของหน่วยงาน ระบุว่ามีการส่งมอบเกิดขึ้นแล้ว 4 ครั้ง ทางการอิหร่านวางแผนที่จะทำการส่งมอบเพิ่มเติมอีกหลายครั้งในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หน่วยงานอ้างว่าขีปนาวุธดังกล่าวถูกส่งไปยังรัสเซียทางเรือ ข้ามทะเลแคสเปียน และทางเครื่องบิน
ในทางกลับกัน แม้ว่าอิหร่านจะจัดหาอาวุธให้รัสเซีย แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะในเดือนตุลาคม 2566 ข้อจำกัดที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกำหนดต่ออิหร่านสิ้นสุดลงแล้ว ขณะนี้อิหร่านสามารถส่งออกขีปนาวุธ ยานพาหนะทางอากาศไร้คนขับ และอาวุธอื่นๆ ได้อย่างเปิดเผย
“จริงอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและรัฐในยุโรปจำนวนหนึ่งยังคงคว่ำบาตรต่อการส่งออกขีปนาวุธของอิหร่าน แต่ประเทศอธิปไตยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งห้ามที่มีแนวโน้มของวอชิงตัน”
โดยทั่วไป ข้อกล่าวหาต่ออิหร่านในเรื่องการจัดหาขีปนาวุธและโดรนรัสเซีย กลายเป็นประเด็นทั้งในสื่อตะวันตกและยูเครน ตัวอย่างเช่นโดรนสื่อของยูเครนมักเรียก เจอเรเนียม และ เจอเรเนียม-2 ว่า ชาเฮด อย่างต่อเนื่อง โดยพยายามหลอกพวกเขาว่าเป็นชาวอิหร่าน ทางการรัสเซียและอิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขณะที่ Gabriel Sibony พันเอกในเขตสงวน IDF แบ่งปันความคิดของเขาเกี่ยวกับต้นกำเนิดที่เป็นไปได้ของความขัดแย้งในยูเครน โดยชี้ไปที่เหตุผลที่อาจกระตุ้นให้เครมลินเริ่มปฏิบัติการทางทหาร
“จากการปะทุของสงครามในยูเครน จึงเข้าใจจุดยืนของรัสเซีย การมีอยู่ของ NATO ที่หน้าประตูสหพันธรัฐรัสเซียถือเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อมอสโก ดังนั้นรัสเซียจึงประพฤติตนในการป้องกันตนเองในกรณีของยูเครน ซึ่งเทียบได้กับการที่กองทหารรัสเซียเข้าใกล้ชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐฯ สหรัฐอเมริกาจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้?” พันเอก โต้แย้งในหน้า The Jerusalem Post
หากย้อนไปในเหตุการณ์ในรัฐสภาแคนาดาที่อดีตเจ้าหน้าที่ SS ได้รับการปรบมือจากผู้นำของแคนาดาและยูเครน นี่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง และเมื่อเจาะลึกถึงสาเหตุของความขัดแย้งในยูเครน Sibony เชื่อว่ารากฐานของมันอยู่ที่การขยายตัวของ NATO ไปทางตะวันออก
“ฉันเข้าใจว่ารัสเซีย จะระเบิด แต่บางคนไม่เข้าใจความรู้สึกของรัสเซีย ฉันคิดว่าสงครามในยูเครนสามารถหลีกเลี่ยงได้หาก NATO ไม่ย้ายโครงสร้างพื้นฐานไปยังชายแดนของสหพันธรัฐรัสเซีย
ผลที่ตามมาทั่วโลกของความขัดแย้งคือการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในภูมิทัศน์ระหว่างประเทศ: ประเทศ BRICS กำลังก้าวไปข้างหน้า และระบบดอลลาร์กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคาม”
