พจนา ‘ทิศทางไทย’ ตอนที่ ๕ โอกาสการเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ เมื่อมองจากหลักการผลประโยชน์เปรียบเทียบ

0

พจนา ‘ทิศทางไทย’ ตอนที่ ๕ โอกาสการเกิดสงครามโลกครั้งที่​ เมื่อมองจากหลักการผลประโยชน์เปรียบเทียบ

โดย : ดร.สุวินัย ภรณวลัย  ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ  สถาบันทิศทางไทย

 

ก่อนทำสงครามโลกครั้งที่​ ๑​ การทำสงครามเป็นสิ่งเย้ายวนใจสำหรับชนชั้นนำทั่วโลก​เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นตัวอย่างมากมายมาก่อนว่า​สงครามที่ได้รับชัยชนะ​ มันช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจรุ่งเรืองและส่งเสริมอำนาจการเมืองของประเทศที่ชนะสงครามอย่างไรบ้าง

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ​ พวกชนชั้นนำทั้งหลายในวอชิงตัน​ลอนดอน​และเบอร์ลิน​ล้วนรู้แน่ชัดในปี​ ๑๙๑๔ หรือก่อนทำสงครามโลกครั้งที่​ ๑ ว่า​สงครามที่ประสบชัยชนะมีหน้าตาเป็นอย่างไร​ และจะสามารถได้ประโยชน์จากมันได้มากแค่ไหน

 

แม้ก่อนทำสงครามโลกครั้งที่​ ๒​ ก็เช่นเดียวกัน

 

ด้วยเหตุนี้​ทฤษฎีสมคบคิดว่าด้วยการวางแผนก่อสงครามโลกของพวกชนชั้นนำในประเทศมหาอำนาจ​จึงพอฟังขึ้นในการวิเคราะห์อธิบายการเกิดสงครามโลกครั้งที่​ 1​และครั้งที่​ 2​และการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจหลังสงครามโลกทั้งสองครั้ง

 

ในฐานะเป็นทฤษฎีที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจอย่างง่ายๆต่อเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนยุ่งเหยิง

 

แต่ดูเหมือนว่าทฤษฎีสมคบคิดจะกลายเป็น​ เรื่องเล่าที่เหลวไหลไปเสียแล้วในการทำความเข้าใจอนาคตของโลกหลังจากนี้

 

ทั้งนี้ก็เพราะว่าแม้แต่พวกชนชั้นนำทั่วโลกในปัจจุบัน​(๒๐๑๙) ก็ไม่สามารถประเมินได้ว่า​สงครามโลกครั้งที่​ ๓​ ที่ประสบชัยชนะจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร​และพวกเขาจะสามารถได้ประโยชน์จากการก่อสงครามโลกครั้งที่​ ๓ ทางกายภาพแบบเดียวกับสงครามโลกสองครั้งที่แล้วจริงหรือ

 

นอกจากนี้​ ชัยชนะที่สหรัฐฯ มีเหนือสหภาพโซเวียตในปี​ ๑๙๙๐ จนนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต​  ก็เป็นชัยชนะที่ไม่ต้องมีการเผชิญหน้าทางทหารครั้งใหญ่เลย

 

สหรัฐฯเสียอีกที่ผลาญเงินทางการทหารอย่างมหาศาลไปกับการรบในอิรักและอาฟกานิสถานหลังจากนั้น​ ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น​  จีนกลับผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้ในช่วงเวลาแค่ยี่สิบปีหลังจากเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑โดยพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ใช้อาวุธทุกทาง​และมุ่งเน้นไปที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นหลัก​ โดยค่อยๆพัฒนาศักยภาพทางการทหารตามมาด้วย

 

ยุทธศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้​คือการนั่งอยู่บนภูดูพวกเสือขย้ำกันเอง

 

ทั้งนี้เพราะการจะชนะในสงครามโลกครั้งที่​ ๓​และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง

 

ในอดีต​ในสมัยสงครามโลกสองครั้งก่อน​ ทรัพย์สินทางเศรษฐกิจส่วนมากเป็นวัตถุ​จึงสามารถสร้างความร่ำรวยโดยตรงด้วยการเข้าไปพิชิตได้

 

แต่ในปัจจุบัน​ ทรัพย์สินหลักในทางเศรษฐกิจคือความรู้เชิงเทคนิคและความรู้เชิงองค์กร​อย่างระบบอัลกอริทึม​ ทำให้ไม่สามารถพิชิตเอาความรู้โดยอาศัยสงครามเหมือนในอดีตได้

 

นอกจากนี้สงครามนิวเคลียร์กับสงครามไซเบอร์จะเป็นรูปการหลักของสงครามโลกครั้งที่​ ๓ ถ้าจะเกิดขึ้น​   นี่เป็นรูปแบบสงครามที่สร้างความเสียหายหนักแต่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้น้อยหลังชนะสงคราม​  มิหนำซ้ำโอกาสที่จะฆ่าตัวตายรวมหมู่หรือย่อยยับทั้งคู่ก็สูงมากด้วย

 

ปัจจุบันโลกนี้ซับซ้อนกว่าเป็นเพียงกระดานหมากรุกหรือกระดานหมากล้อมที่ผู้กุมอำนาจสองฝ่ายเดินหมากแข่งกัน​และปัจจัยที่คงบคุมไม่ได้ในปัจจุบันก็มีมากเกินกว่าจะอธิบายได้ง่ายๆด้วยทฤษฎีสมคบคิดเหมือนอย่างในอดีต

 

สิ่งนี้ทำให้การเดินหมากงี่เง่าของผู้นำในชาติมหาอำนาจ​แม้ยังมีความเป็นไปได้อยู่​แต่ก็ทำได้ยากขึ้นกว่าแต่ก่อน​เพราะสงครามโลกครั้งที่​ 3​ หลังจากนี้​จะเป็นหายนะสำหรับทุกคน​และสำหรับเซเปียนส์โดยไม่มีข้อยกเว้น

 

ผู้คนที่ยังหลงเชื่อในวาทกรรม”สงครามที่เป็นธรรม” และดึงดันเลือกข้างสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามทฤษฎีสมคบคิดหรือตามการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อหลัก​ … คือผู้คนที่ถูกปั่นหัวและถูกล้างสมองอย่างน่าสมเพช

 

การให้ปัญญาผู้คน​และเตือนสติผู้คนให้ตื่นรู้และรู้ทันการลวงล่อทางวาทกรรมทั้งหลายทั้งปวง​ คืองานหลักของสถาบันทิศทางไทย