หน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งภูมิรัฐศาสตร์โลกปิดลง เมื่อนักการเมืองอาวุโสชื่อดังคนสำคัญที่มีบทบาท ผลักดันเป้าหมายของสหรัฐฯขับเคลื่อนอย่างราบรื่นตลอดช่วงชีวิตของเขา บุคคลที่ตะวันตกยกย่องเป็นวีระบุรุษ แต่อาจไม่ใช่ในสายตาประเทศที่ถูกสหรัฐฯเอาเปรียบและเป็นเหยื่อสงครามครอบงำ
วันที่ ๓๐ พ.ย.๒๕๖๖ สำนักข่าวเอพี-รอยเตอร์และสื่อตะวันตกเกือบทุกฉบับรายงานอย่างพร้อมเพรียงถึงการเสียชีวิตของมือหนึ่งการต่างประเทศของสหรัฐ
เฮนรี คิสซินเจอร์ (Henry Kissinger) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ และนักการทูตผู้ทรงอิทธิพลซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวันพุธ (๒๙ พ.ย.) ขณะมีอายุได้ ๑๐๐ ปี
คำแถลงจากบริษัทที่ปรึกษา Kissinger Associates Inc ระบุว่า คิสซินเจอร์ เสียชีวิตที่บ้านของเขาในรัฐคอนเนตทิคัต และครอบครัวจะจัดพิธีฝังศพเป็นการภายใน หลังเสร็จสิ้นพิธีไว้อาลัยอย่างเป็นทางการที่นครนิวยอร์กซิตี
คิสซินเจอร์ ยังคงทำภารกิจต่างๆ อย่างสม่ำเสมอแม้ในวัยล่วงเข้า ๑๐๐ ปี ทั้งการเข้าร่วมประชุมที่ทำเนียบขาว ออกหนังสือเกี่ยวกับสไตล์ความเป็นผู้นำ และเข้าให้การต่อคณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับภัยคุกคามนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ และเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา นักการทูตชั้นครูผู้นี้ก็ได้สร้าง “เซอร์ไพรส์” อีกครั้งด้วยการเดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าพบประธานาธิบดี สี จิ้นผิง
ในช่วงทศวรรษ ๑๙๗๐ คิสซินเจอร์ เข้าไปมีบทบาทสำคัญในหลายเหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของยุคสมัย ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน นักการทูตผู้เป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิวโดยกำเนิดคนนี้เป็นผู้นำในการเปิดสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีส่วนในการเจรจาควบคุมอาวุธระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต ช่วยยกระดับความสัมพันธ์อิสราเอลกับบรรดารัฐอาหรับเพื่อนบ้าน และยังร่วมผลักดันสนธิสัญญาปารีส (Paris Peace Accords) ระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามเหนือซึ่งนำไปสู่การปิดฉากสงครามเวียดนาม
บทบาทของ คิสซินเจอร์ ในฐานะสถาปนิกผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เริ่มลดน้อยถอยลงหลังจากที่ประธานาธิบดี นิกสัน ลาออกเมื่อปี 1974 จากผลพวงของคดี “วอเตอร์เกต” (Watergate) แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเป็นขุมพลังทางการทูตให้กับสหรัฐฯ ต่อมาในยุคของประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด และยังคงนำเสนอแง่คิดอันทรงอิทธิพลในด้านการทูตมาตลอดทั้งชีวิต
แม้ คิสซินเจอร์ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักการทูตที่ชาญฉลาดและมีประสบการณ์กว้างขวางอย่างยิ่ง แต่ก็มีบางคนที่เรียกเขาว่าเป็น “อาชญากรสงคราม” จากการที่ คิสซินเจอร์ สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในละตินอเมริกา และในช่วงปีหลังๆ มานี้การเดินทางของ คิสซินเจอร์ เริ่มถูกจำกัดจากการที่รัฐบาลบางประเทศคิดจับกุมตัวเขา หรือต้องการตั้งคำถามเขาเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯในอดีต
คิสซินเจอร์ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี ๑๙๗๓ ร่วมกับ เล ดึ๊ก เถาะ (Le Duc Tho) สมาชิกอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและหนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจนเกิดข้อตกลงสันติภาพปารีส ทว่าฝ่ายหลังปฏิเสธที่จะรับรางวัลนี้ ซึ่งการมอบรางวัลในปีดังกล่าวเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และมีคณะกรรมการโนเบลถึง ๒ คนที่ลาออกสืบเนื่องจากผลการคัดเลือกนี้ ตลอดจนกระแสคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่สหรัฐฯ เข้าไปปฏิบัติการทิ้งระเบิดแบบลับๆ ในกัมพูชา
คิสซิงเจอร์ถูกชาวอเมริกันจำนวนมากประณามจากพฤติกรรมการทูตในช่วงสงคราม เขายังคงเป็นสายล่อฟ้าในอีกหลายทศวรรษต่อมา ในปี ๒๕๕๘ การปรากฏตัวของคิสซิงเกอร์วัย ๙๑ ปีต่อหน้าคณะกรรมการบริการติดอาวุธของวุฒิสภาถูกขัดขวางโดยผู้ประท้วงเรียกร้องให้จับกุมเขาในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม และเรียกร้องรับผิดต่อการกระทำของเขาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชิลี และที่อื่นๆ .
Heinz Alfred Kissinger เกิดที่เมืองฟูเอิร์ต (Fuerth) ในบาวาเรียเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๖๖ เป็นบุตรชายของครูในโรงเรียน ครอบครัวของเขาหนีจากนาซีเยอรมนีในปี ๑๙๓๘/๒๔๘๑ และตั้งรกรากในแมนฮัตตัน ซึ่งไฮนซ์เปลี่ยนชื่อเป็นเฮนรี่ คิสซิงเจอร์มีลูกสองคน คือ เอลิซาเบธและเดวิด ตั้งแต่แต่งงานครั้งแรก!