สื่อดังรัสเซีย-อาหรับฟันเปรี้ยง! ญิฮาดจากเบื้องลึก ยกแรกสหรัฐ-อิสราเอลพลาดท่า แพ้ทางยุทธศาสตร์

0

อิสราเอลยิ่งปราบโหดยิ่งแพ้ แม้ปาเลสไตน์มีการสูญเสียแต่โลกได้รับรู้และเป็นพยาน การเคลื่อนไหวภาคประชาชนทั่วโลกส่งสัญญาณบีบอิลิทโลก จนสามารถกดดันให้เนทันยาฮูและพวกต้องหยุดยิงชั่วคราว สถานการณ์การหยุดยิง ผลกระทบและจังหวะก้าวต่อไป สื่อใหญ่ของรัสเซียและสื่ออาหรับออกบทวิเคราะห์เสนอมุมมองน่าสนใจ และเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า “การหยุดยิงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า สัญญาณแห่งการปลดปล่อยปาเลสไตน์ได้เริ่มขึ้น ฮามาสไม่อาจถูกทำลายได้โดยง่าย เพราะวันนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดปลดปล่อยประชาชาติปาเลสไตน์ไปแล้ว และอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ กระแสโลกตอบรับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ซึ่งถูกกักอยู่ในสถานคุมขังกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเงียบงันมาถึง ๗๕ปี”

สิ่งที่เราได้เห็นว่าอิสราเอลทำอย่างไรกับชาวปาเลสไตน์ เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของ ๕๗ วัน แต่ตลอด ๗๕ ปีที่ผ่านมาจินตนาการไม่ได้เลยว่ามันจะหนักหนาสาหัสเพียงใด!?

วันที่ ๓๐ พ.ย.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และปาเลสไตน์โครนิเคิล เผยแพร่บทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ศึกขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ว่า ญิฮาดจากเบื้องลึก: อิสราเอลสามารถรับมือกับข้อได้เปรียบที่เป็นความลับของฮามาสได้หรือไม่?

กรุงเยรูซาเลมตะวันตกวางแผนที่จะเคลียร์อุโมงค์ของกลุ่มในฉนวนกาซา แต่ภารกิจนี้อาจเป็นไปไม่ได้  การสงบศึกในฉนวนกาซาเป็นสัญญาณว่ากลุ่มฮามาสไม่สามารถเอาชนะได้ อิสราเอลไม่สามารถบรรลุชัยชนะอันมีความหมายใดๆ ต่อกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ได้

ฮามาส ซึ่งเป็นขบวนการอิสลามที่ควบคุมฉนวนกาซา เชื่อกันว่ามีเครือข่ายอุโมงค์ที่มีความยาว 500 กิโลเมตร (310 ไมล์) ประกอบด้วยห้องสั่งการ พื้นที่ฝึกซ้อม บังเกอร์ และห้องประชุม และเชื่อมต่อกับระบบระบายอากาศที่ซับซ้อน ตลอดจนระบบประปาและไฟฟ้าที่สม่ำเสมอ

เป็นเวลากว่า ๕๐ วันแล้วนับตั้งแต่อิสราเอลเปิดปฏิบัติการดาบเหล็กซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำจัดกลุ่มฮามาส ภายหลังการโจมตีของกลุ่มฮามาสที่มีผู้เสียชีวิตในชุมชนทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,400 รายและบาดเจ็บอีกหลายพันคน

สถานที่สำคัญต่างๆ รวมถึงรัฐสภาของฉนวนกาซา ศาล และสำนักงานตำรวจ ได้ถูกยึดโดย IDF แล้ว โรงพยาบาลหลักและใหญ่ที่สุดของเมืองกาซา – ชิฟา – ก็ถูกยึดเช่นกัน อิสราเอลเชื่อว่าศูนย์การแพทย์แห่งนี้มีระบบอุโมงค์ที่ซับซ้อน พร้อมด้วยห้องรวมตัวและบังเกอร์ ซึ่งอาจจับตัวประกันบางส่วนไว้ได้แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไร แก้เกี้ยวด้วยการจับผอ.โรงพยาบาลไปควบคุมตัวจนวันนี้ยังไม่ปล่อย

ชิฟาเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของปริศนา ตามข้อมูลของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล รายงานเมืองนี้มีอุโมงค์ประมาณ ๑,๓๐๐ แห่ง ซึ่งมีความยาวโดยรวมอยู่ที่ ๕๐๐ กิโลเมตร ซึ่งยาวกว่าระบบรถไฟใต้ดินของลอนดอนหนึ่งร้อยกิโลเมตร 

อาบี เมลาเมด ผู้เชี่ยวชาญตะวันออกกลางและอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของ IDF กล่าวว่า “เครือข่ายดังกล่าวซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ผิวดิน ๗๕เมตร (๒๔๖ ฟุต)  ถูกกล่าวหาว่ามีคลังกระสุน ศูนย์บัญชาการและควบคุม ตลอดจนพื้นที่ฝึกซ้อม และห้องประชุม ‘รถไฟใต้ดิน’ ยังมีระบบระบายอากาศของตัวเองและมีน้ำและไฟฟ้าที่สม่ำเสมอ”

“สิ่งที่เรารู้จนถึงตอนนี้ก็คือฉนวนกาซามีอุโมงค์หลายประเภท”“มีสิ่งที่เรียกว่าอุโมงค์ลักลอบขนสินค้า ใช้ในการลักลอบขนสินค้า อาวุธ และเครื่องบินรบจากไซนาย มีอุโมงค์โจมตีที่เจาะเข้าไปในดินแดนอิสราเอล และยังมีอุโมงค์ที่กลุ่มฮามาสสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ทางทหารภายในด้วย”

“ทางเลือกหนึ่งสำหรับอิสราเอลคือการทำให้พวกเขาหายใจไม่ออกโดยตัดการไหลของออกซิเจนไปยังอุโมงค์ อีกประการหนึ่งคือการรวบรวมข้อมูลให้เพียงพอเกี่ยวกับทางออกและทางเข้า เพื่อที่เราจะสามารถปิดกั้นพวกเขา และจับผู้ก่อการร้ายฮามาสไม่ให้เข้าไปข้างในได้” แต่นั่นอาจเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ เชื่อกันว่ากลุ่มฮามาสและกลุ่มปาเลสไตน์อื่นๆ จับตัวประกันไว้มากกว่า ๒๐๐ คน และอย่างน้อยบางส่วนก็ซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ การปิดกั้นสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้หรือตัดออกซิเจนอาจทำให้คนเหล่านี้เสียชีวิตได้เช่นกัน 

ในขณะที่อ้างปราบภัยก่อการร้ายอิสราเอลยังได้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนอย่างเมามันทั้งมัสยิด โรงเรียน โรงพยาบาล ค่อยผู้อพยพและอาคารที่พักอาศัย ชาวปาเลสไตน์มากกว่า ๑๔,๐๐๐ คนถูกสังหาร ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก มีผู้ได้รับบาดเจ็บเกือบ ๓๖,๐๐๐ ราย  

อีกด้านหนึ่งจากบทวิเคราะห์ของบรรณาธิการสื่อปาเลสไตน์โครนิเคิล ระบุว่าความจริงก็คือชาวปาเลสไตน์ประสบความสำเร็จในการยืนหยัดต่อปาเลสไตน์ในวาระระดับโลกผ่านการต่อต้านและผลรวมของพวกเขา

ไม่นานหลังจากการเริ่มการหยุดยิงสี่วันในสงครามในฉนวนกาซา นายกรัฐมนตรีของสเปนและเบลเยียม เปโดร ซานเชซ และอเล็กซานเดอร์ เด ครู ก็ได้ปรากฏตัวในการแถลงข่าวร่วมกัน ที่  ด่านราฟาห์ ขณะที่ซานเชซบรรยายถึง “สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหายนะ” เด ครูโอ เรียกร้องให้ “ยุติความเป็นปรปักษ์อย่างถาวร” และยุติการสังหารเด็ก

ผู้นำยุโรปทั้งสองประกาศว่า “เราอาจตัดสินใจรับรองรัฐปาเลสไตน์ หากสหภาพยุโรปไม่ยอมรับ”

เมื่อประกอบกับสถานะที่แข็งแกร่งของ ไอร์แลนด์ดูเหมือนว่าบางคนในยุโรปจะตื่นตัวด้วยความจริงที่ว่าการยึดครองของอิสราเอลเป็นสาเหตุหลักของ ‘สงคราม’ ในฉนวนกาซานั่นเอง

อิสราเอลไม่พอใจกับจุดยืนของยุโรปที่กำลังพัฒนาไป โดย ได้เรีย เอกอัครราชทูตของทั้งสองประเทศมาทันที และ ‘ตำหนิ’ พวกเขาอย่างรุนแรง การตอบสนองที่เกินจริงนี้แสดงให้เห็นว่าอิสราเอลไม่เต็มใจที่จะมอบส่วนต่างที่แคบที่สุดให้กับยุโรป เช่น ในการประณามการมุ่งทำลายชีวิตเด็ก หรือคาดหวังว่าจะมีการตั้งถิ่นฐานอย่างสันติบางประเภทที่มีศูนย์กลางอยู่ที่อธิปไตยของชาวปาเลสไตน์

วลีของสเปนและเบลเยียมที่ว่า “เราอาจตัดสินใจ” ที่จะยอมรับปาเลสไตน์แม้ว่าจะไม่มีฉันทามติของสหภาพยุโรปก็ตาม ก็บ่งบอกถึงความแตกแยกในนโยบายต่างประเทศที่เกิดขึ้นจริงภายในยุโรปเอง ปรากฎว่าไม่ใช่ทุกรัฐบาลในสหภาพยุโรปจะมีความอดทนต่อการล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซาได้เหมือนกับเยอรมนีและอังกฤษ

สิ่งที่น่าสนใจคือ เจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปคนอื่นๆ เองก็กำลังเรียกร้องให้มีรัฐปาเลสไตน์ แม้ว่าความตั้งใจของพวกเขาจะไม่ได้รับประกันเสรีภาพของชาวปาเลสไตน์หรือเพื่อปกป้องสิทธิของชาวปาเลสไตน์ก็ตาม

โจเซป บอร์เรลล์ หัวหน้านักการทูตของสหภาพยุโรป เมื่อวันที่ ๒๐ พ.ย.ที่ผ่านมาว่า “การสถาปนารัฐปาเลสไตน์จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการประกันความมั่นคงของอิสราเอล”

อิสราเอลทำทุกอย่างที่มีอำนาจเพื่อคว่ำบาตรการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ๒.๓ ล้านคนในฉนวนกาซาจากทั่วทุกมุมโลก โดยปิดอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า และการสื่อสารทุกรูปแบบ แม้แต่ในหมู่ชาวปาเลสไตน์เองก็ตาม แต่ข้อความของชาวปาเลสไตน์ที่เป็นเอกภาพและชัดเจนยังคงดำเนินต่อไป ขยายเวลานับครั้งไม่ถ้วนโดยกองทัพนักเคลื่อนไหวทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยสร้างสมดุลระหว่างอคติของสื่อกระแสหลักได้อย่างน่าประทับใจ และในที่สุดก็เอาชนะการควบคุมของสื่อองค์กรในการเล่าเรื่องสงครามตามวาระซ่อนเร้นของอิสราเอลและผู้สนับสนุนเบื้องหลัง โดยสิ้นเชิง

 

ความสามัคคีของประชาชนจะต้องดำเนินต่อไป เพื่อว่าในที่สุดมันจะถูกควบคุมในรูปแบบของความสามัคคีทางการเมือง ซึ่งจะนำกลุ่มชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดมารวมกันภายใต้การนำแบบเดียว นี่เป็นวิธีเดียวที่จะรับประกันได้ว่าจะมีการเสียสละของชาวปาเลสไตน์อย่างยิ่งใหญ่และเลือดเนื้ออันมีค่าที่หลั่งไหลในฉนวนกาซา ในที่สุดจะแปลไปสู่อิสรภาพที่ชาวปาเลสไตน์ทุกคนปรารถนา

พลังจากการสนับสนุนจากสากล ก็เป็นแรงคลื่นที่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่อาจมองข้าม

ชาวอาหรับและมุสลิมทำหน้าที่เป็นแกนหลักของความสามัคคีของชาวปาเลสไตน์ตลอดช่วงสงครามของอิสราเอลในฉนวนกาซา พวกเขาประท้วง คว่ำบาตร ต่อสู้และระดมพล นอกจากนี้ ผู้คนหลายสิบล้านคนนอกเหนือจากขอบเขตของโลกอาหรับและมุสลิม ยังเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสิทธิและลำดับความสำคัญของชาวปาเลสไตน์อีกด้วย

ถึงเวลาแล้วที่ชาวปาเลสไตน์จะใช้ช่วงเวลาสำคัญนี้ ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องเป็นผู้นำกระบวนการปลดปล่อยตนเองในความเป็นจริง ในฉนวนกาซา เจนิน และที่อื่นๆ กระบวนการนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

บทสรุปของบทความของสื่อทั้งสองประเทศชัดเจนในตัวเองแล้ว ความเป็นจริงเบื้องหน้า ปาเลสไตน์มีการสูญเสียแต่อิสราเอลยิ่งปราบหนักยิ่งแพ้ การเคลื่อนไหวทั้งการทูต การเมือง เศรษฐกิจและทางทหารก็ยังไม่หยุดยั้ง ณ เวลานี้อิสราเอลยิ่งเพิ่มการปราบปรามอย่างหนักซึ่งจะส่งผลให้การตอบโต้กลับจากกลุ่มResistance รอบๆหนักขึ้นด้วย ช่วงเวลานี้จะพิสูจน์ความจริงที่ว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกจะแก้ไขได้ด้วยการเมือง หรือต้องชี้ขาดด้วยการทหารกันแน่ นั่นคือคำตอบที่ว่าเราจะหลีกเลี่ยงWWIII ได้หรือไม่นั่นเอง!!??