กูรูนาวิกโยธินอดีตCIA ออกมาฟันธงชัดว่า “การต่อสู้ของกลุ่มฮามาส เป็นปฏิบัติการโจมตีทางทหารที่ประสบความสำเร็จที่สุดในศตวรรษนี้” และขบวนการต่อต้านประสานกันรอบทิศอย่างแข็งแกร่งเกินกว่าที่ทางอิสราเอลคาดไว้ พฤติกรรมการปราบหว่านแหของอิสราเอลส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านทั่วโลก ทางการเมืองคือแพ้แล้ว ทหารทหารณเวลานี้ก็ไม่ได้ประสบผลอย่างที่กล่าวอ้าง
ขณะที่ฮามาสได้เปิดฉากโจมตีด้วยจรวดที่หนักที่สุดในเมืองเทลอาวีฟของอิสราเอลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่การสู้รบเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม สถานีโทรทัศน์อาหรับรายงายอย่างพร้อมเพรียง
วันที่ ๒๑ พ.ย.๒๕๖๖ สำนักข่าวอัล-มายาดีนและอัล-อะราบียาเปิดเผยว่า เมืองต่างๆ หลายแห่งในภาคกลางของอิสราเอลตกอยู่ภายใต้การโจมตีของกลุ่มฮามาส โดยกองพลน้อยอิซ เอล-ดีน อัลกัสซาม (Izz el-Deen al-Qassam) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธเครือข่ายกลุ่มฮามาส กล่าวว่าการโจมตีด้วยปืนใหญ่ในดินแดนอิสราเอลเป็นการตอบสนองต่อ “การสังหารพลเรือน”อย่างหว่านแหของอิสราเอล
ริตเตอร์ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองนาวิกโยธินสหรัฐฯ และอดีตผู้ตรวจสอบอาวุธของคณะกรรมาธิการพิเศษแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า“การโจมตีทางทหารที่ประสบความสำเร็จที่สุดในศตวรรษนี้ คือการโจมตีของฮามาสในวันที่ ๗ ตุลาคม” สก็อตต์ ริตเตอร์เสนอการวิเคราะห์ที่ไม่เหมือนใครเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างนักรบฮามาสกับกองทัพอิสราเอลทางตอนใต้ของอิสราเอล
เขากล่าวว่า “อิสราเอลถูกโจมตีที่ดำเนินการโดยกลุ่มฮามาสในฐานทัพทหารต่างๆ เป็นการกระทำครั้งใหญ่ซึ่งอิสราเอลเอามาเปรียบได้กับ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ เหตุก่อการร้ายโจมตีสหรัฐฯ” “ปัญหากับการกล่าวอ้างของอิสราเอลก็คือว่าคำกล่าวอ้างเหล่านี้เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิดอย่างเห็นได้ชัด”
ริตเตอร์ชี้ว่า “เกือบหนึ่งในสามของผู้เสียชีวิตชาวอิสราเอลประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และตำรวจ ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฎว่าผู้สังหารรายแรกต่อชาวอิสราเอลในวันที่ 7 ตุลาคม ไม่ใช่กลุ่มฮามาสหรือกลุ่มปาเลสไตน์อื่นๆ แต่เป็นกองทัพอิสราเอลเอง วิดีโอที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ของอิสราเอลยิงพลเรือนอิสราเอลอย่างไม่เจาะจงและพยายามหลบหนีจากการรวมตัวของซูเปอร์โนวาซุกค็อตที่จัดขึ้นในทะเลทรายใกล้เมืองคิบบุตซ์ เรอิม นักบินไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างพลเรือนและนักรบฮามาสได้ ยานพาหนะหลายคันที่รัฐบาลอิสราเอลแสดงเป็นตัวอย่างของการนอกบทของกลุ่มฮามาส ความจริงถูกทำลายโดยเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ของอิสราเอล”
ริตเตอร์ยังหักล้างคำกล่าวอ้างของอิสราเอลในยุคแรกๆ อีกด้วย ซึ่งหลายคำกล่าวซ้ำโดยเจ้าหน้าที่ตะวันตกและสื่อกระแสหลัก
“รัฐบาลอิสราเอลต้องถอนกลับข้อกล่าวหาที่ว่ากลุ่มฮามาสตัดศีรษะเด็ก ๔๐ คน และไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ากลุ่มฮามาสเกี่ยวข้องกับการข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงชาวอิสราเอลเพียงคนเดียว ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่านักรบฮามาสมีระเบียบวินัย มุ่งมั่น และอันตรายถึงชีวิตในการโจมตี และยังสุภาพและอ่อนโยนเมื่อต้องรับมือกับพลเรือนที่เป็นเชลย”
“คำถามเกิดขึ้นว่าทำไมรัฐบาลอิสราเอลจึงต้องพยายามสร้างเรื่องราวที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนลักษณะที่เป็นเท็จ และทำให้เข้าใจผิดของการโจมตี ๗ ตุลาคมโดยกลุ่มฮามาสต่อระบบกั้นฉนวนกาซาว่าเป็นการกระทำของการก่อการร้าย”
“เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ ๗ ตุลาคม ไม่ใช่การโจมตีของผู้ก่อการร้าย แต่เป็นการโจมตีของทหาร”
ความแตกต่างระหว่างคำทั้งสองเหมือนกลางวันและกลางคืน ด้วยการเรียกเหตุการณ์ในวันที่ ๗ ตุลาคมว่าเป็นการกระทำของการก่อการร้าย อิสราเอลจึงโยนความผิดสำหรับความสูญเสียครั้งใหญ่จากกองทัพ ความมั่นคง และหน่วยข่าวกรองของตน และส่งต่อไปยังกลุ่มฮามาส หากอิสราเอลรับรู้ว่าสิ่งที่ฮามาสทำนั้นแท้จริงแล้วคือการโจมตี—ปฏิบัติการทางทหาร มันสะท้อนความสามารถของกองทัพ ความมั่นคง และหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลก็จะถูกตั้งคำถาม เช่นเดียวกับผู้นำทางการเมืองที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลและ กำกับการดำเนินงานของพวกเขา”
ริตเตอร์ชี้ว่ากลุ่มฮามาสได้รับชัยชนะครั้งใหญ่เหนือกองทัพอิสราเอล โดยให้เหตุผลว่า “องค์ประกอบพื้นฐานของชัยชนะครั้งนี้เป็นที่ยอมรับอย่างดี” องค์ประกอบเหล่านี้ได้แก่
“ฮามาสทำให้หน่วยข่าวกรองที่โอ้อวดของอิสราเอลเป็นกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พวกเขามองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตีในขอบเขตและขนาดนี้”
“เมื่อการโจมตีเกิดขึ้น กลุ่มฮามาสสามารถโจมตีโหมดการเฝ้าระวังและการสื่อสารที่ IDF ใช้ในการระดมการตอบสนองในกรณีที่มีการโจมตีได้อย่างแม่นยำ”
“กลุ่มฮามาสเอาชนะทหารอิสราเอลที่ประจำการอยู่ตามกำแพงกั้นในการสู้รบแบบยืนหยัด กองพันสองกองพันของ Golani Brigade ถูกส่งไป เช่นเดียวกับองค์ประกอบของหน่วย IDF อื่นๆ ที่ถูกโอ้อวดมาโดยตลอด”
“กลุ่มฮามาสโจมตีสำนักงานใหญ่ของแผนกฉนวนกาซา ศูนย์ข่าวกรองท้องถิ่น และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการควบคุมและควบคุมหลักอื่นๆ ด้วยความแม่นยำเปลี่ยนสิ่งที่ควรจะเป็นการตอบสนองในห้านาทีให้กลายเป็นหลายชั่วโมง ซึ่งมากเกินพอสำหรับกลุ่มฮามาสในการดำเนินการ วัตถุประสงค์หลักประการหนึ่งคือการจับตัวประกัน พวกเขาทำสิ่งนี้ด้วยความชำนาญอย่างยิ่ง โดยเดินทางกลับไปยังฉนวนกาซาพร้อมทหารและพลเรือนอิสราเอลมากกว่า ๒๓๐ คน”
กูรูมะกันเองออกอาการรับไม่ได้กับการปฏิบัติการปูพรมกวาดล้างชาวปาเลสไตน์อย่างบ้าคล้่งของเนทันยาฮู จึงได้ออกมาแฉความจริงสวนทางคำโกหกของทีมเนทันยาฮู การสู้รบในสนามศึกขยายเกือบเต็มพื้นที่แล้วไม่เฉพาะในเขตที่ชาวปาเลสไตน์อาศัย ได้รุกคืบเข้าในใจกลางเมืองใหญ่ของอิสราเอลด้วย ท่ามกลางกระแสข่าวตะวันตกและข่าวจากกองทัพอิสราเอลว่า ปราบฮามาสได้มากมาย!!